ที่ กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงหลังการบรรยายสรุปแก่คณะทูต องค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมด้านทุ่นระเบิด ว่า การบรรยายสรุปในวันนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ข้อเท็จจริงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้ทหารไทยหลายนายได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุพลภาพถาวร และสร้างความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดน และเพื่อชี้แจงข้อมูลและเหตุผลเกี่ยวกับการดำเนินการของไทยในเรื่องนี้
โดยได้เชิญคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียนและรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา รวมทั้งผู้แทนองค์การระหว่างประเทศและองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเข้าร่วม โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟัง 67 คน จาก 41 ประเทศ 1 องค์กร และ 4 องค์การ ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กัมพูชาได้ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมรับฟัง
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เป็นผู้กล่าวเปิดผ่านวิดีโอคลิป เนื่องจากขณะนี้ท่านติดการกิจอยู่ระหวางเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) ที่เมืองอันหนิง ประเทศจีน ซึ่งประเทศไทยทำหน้าที่ประธานการประชุมร่วมกับจีน หลังจากนั้น เป็นการบรรยายของท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระพรวงการต่างประเทศ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ตามด้วยท่านเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร ผู้แทนหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ
นานมาริษ ได้กล่าวย้ำ ถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการบรรยายสรุปในวันนี้ เพื่อชี้แจงให้ประชาคมโลกได้รับทราบความจริงที่ครบถ้วน เรื่องการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่กัมพูชาเป็นภาคี และความไม่ตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แม้ฝ่ายไทยจะเสนอให้มีการเก็บกู้ร่วมกันในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของไทยในการปฏิบัติตามอนุสัญญาและข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ต่อมาท่านผู้ช่วยรัฐมนตรี รัศม์ฯ ได้สรุปลลัพธ์ที่สำคัญๆ ของการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2568 โดยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของการใช้ทุ่นระเบิดต่อความปลออดภัยและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยได้เสนอกัมพูชา 2 เรื่องคือให้มีการเก็บกู้ทุนระเบิด รวมไปถึงการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ร่วมกัน แต่ทั้งสองข้อไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายกัมพูชา
นอกจากนี้ยังได้ย้ำถึงความโปร่งใสในการดำเนินการของฝ่ายไทยที่ได้นำคณะทูตลงพื้นที่สังเกตการณ์ผลกระทบจากการโจมตีแบบอย่างไม่เลือกเป้าของฝ่ายกัมพูชา เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ที่จะจัดให้มีการลงพื้นที่อีกครั้ง เพื่อสังเกตการณ์เรื่องการใช้หุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา ต่อมาเจ้ากรมกิจการขายแดนทหาร พลโทณัฐพงษ์ เพราแก้ว พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษธรรม ได้ให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่วางโดยฝ่ายกัมพูชา ตั้งแรกแรกเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2568 ในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี จนถึงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2568 ที่เพิ่งผ่านมา พร้อมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจและการใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบและเก็บกูทนระเบิดของฝ่ายไทย และบทบาทของหน่วยปฏิบัติการฯ ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด
ต่อมา นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้ให้ข้อมูลความพยายามของไทยในช่วงที่ผ่านมาที่ผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันในเรื่องการเก็บกับกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน แต่เหตุการณ์การเหยียบกับระเบิดโดยทหารไทยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เรื่องการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมไม่ใช่ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชาให้ความสำคัญ โดยไทยไทยได้ทำการประท้วงกัมพูชาในช่องทางทางการทูตต่างๆ ไปแล้ว และจะผลักดันเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และรวมถึงการประชุม GBC ที่จะมีเกิดในเร็วๆ นี้
จากนั้น น.ส.พินท์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และอนุสัญญาออตตาวาโดยฝ่ายกัมพูชา จากกรณีการลอบวางทุ่นระเบิด ตลอดจนการดำเนินการชี้แจง การนำเสนอข้อเท็จจริง และการประท้วงของไทยต่อกรณีข้างต้นในเวทีพหุภาคี
นายนิกร เดช กล่าวว่า ทั้งนี้สามารถสรุปประเด็นสำคัญจากการบรรยายสรุปครั้งนี้ 6 เรื่อง คือ
1.ประเทศไทยยึดมันในกฎหมายระหว่างประเทศ และพร้อมปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด รวมถึงพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวาในการกำจัดทุ่นระเบิดให้หมดไป ทั้งด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและด้านมนุษยธรรมสำหรับประชาชน โดยจนถึงปัจจุบัน ไทยได้เก็บกู้พื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 99.5% ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,500 ตารางกิโลเมตร และยังให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี
2. ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา ทหารไทยต้องเหยียบทุ่นระเบิดที่วางโดยฝ่ายกัมพูชาแล้วรวม 5 ครั้ง เมื่อวันที่ 16, 23 และ 28 ก.ค. และล่าสุด เมื่อวันที่ 9 และ 12 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ทุทพพลภาพถาวร 5 ท่าน และมีผู้ให้รับบาดเจ็บหลักสิบคน โดยฝ่ายไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่า ทุ่นระเบิดที่พบในบริเวณชายแดนเป็นทุ่นระเบิดประเภท PMN-2 ที่ถูกนำมาวางไว้ใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่เป็นมรดกจากสงครามในอดีตตามที่ฝ่ายกัมพูขากล่าวอ้าง ขอย้ำอีกครั้งว่าไทยไม่มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในครอบครองแล้ว
3. ประเทศไทยได้ดำเนินการประท้วงกัมพูชาในช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา หรือการมีหนังสือประท้วงไปยังเลขาธิการสหประชาชติและประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาติ โดยไทยประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งหลักการพื้นฐานของกฎบัตรสหประชาชาติ รวมทั้งเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และพันธกรณีตามอนุสัญญาออตตาวาที่ทั้งไทยและกันพูชาเป็นภาคี อีกทั้งเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่กำหนดให้ประเทศทั้งสองยุติการใช้อาวุธทุกชนิด รวมถึงทุ่นระเบิดสังหารบุคคลด้วย
4. กัมพูชาปฏิเสธที่จะหารือเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงเรื่องการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ ตามที่ไทยเคยเสนอในการประชุม GBC สมัยวิสามัญที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตใจและไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาและข้อตกลงหยุดยิงโดยทันที แสดงความจริงใจที่จะฟื้นฟูสันติภาพบริเวณชายแดน และหันกลับมาร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน
5. ประเทศไทยหวังว่า ประเด็นเรื่องการเก็บกู้ทุนระเบิดจะได้รับการพิจารณาในการประชุม RBC และ GBC ที่กำลังจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดน
6. ในวันพรุ่งนี้ กระทรวงการต่างประเทศพร้อมด้วยหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องจะจัดให้คณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตาวา และผู้แทนองค์การภาคประชาสังคมที่มีภารกิจด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมทั้งสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อสังเกตการณ์ความเสียหายที่เกิดจากการใช้ทุ่นระเบิดของฝั่งกัมพูชา ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้จะได้นำหลักฐานเชิงประจักษ์ต่าง ๆ กลับไปพิจารณาทบทวนการให้ความช่วยเหลือแก่กันพูชาในการก็บกู้ทุนระเบิดอย่างรอบคอบ รวมทั้งกดดันให้กัมพูชา ในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ แสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้
นายนิกรเกช ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนขอใช้โอกาสนี้ย้ำในอีก 2 ประเด็น คือ
1. ประเทศไทยยืนยันความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนและความตึงเครียดต่างๆ กับกัมพูชาโดยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น RBC GBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทยจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงด้วยความจริงใจและสุจริตใจ และคาดหวังในทางเดียวกันให้กัมพูชาแสดงความจริงใจและสุจริตใจในกลไกเหล่านี้เช่นกัน
2. ฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาวสาร ซึ่งนอกจากจะขัดต่อเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิงที่กำหนดให้งดเว้นการแพร่ข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอมแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อการสร้างภาวะที่เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาและลดความตึงเครียดที่มีอยู่
เมื่อถามว่า การร้องเรียนกัมพูชาเกี่ยวกับการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาใช้เวลาดำเนินการนานแค่ไหน นายนิกรเดชกล่าวว่า การประชุมอนุสัญญาออตตาวาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ในข้อเรียกร้องของเรา ไทยได้พูดถึงความเร่งด่วนของปัญหา แต่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมว่าประธานอนุสัญญาจะเรียกร้องใหกัมพูชาดำเนินการอย่างไรหรือให้ข้อเท็จจริงอย่างไร อย่างไรก็ดีไทยได้ทำหนังสือเลขาธิการสหประชาชาติด้วย ซึ่งท่านมีอำนาจที่จะเรียกร้องให้กัมพูชาชี้แจงขอ้เท็จจิงซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนได้ เราเรียกร้องอย่างต่อเนื่องและหวังจะเกิดขึ้นเร็วกว่าการประชุมรอบปกติ แต่ยังไม่สามรรถตอบได้ว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่
Advertisement