นายสมชัย ศรีสุทธิยากร นักวิชาการ และอดีต กกต.โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กโดย ระบุว่า คนรุ่นนี้ จะร่วมชุมนุมใหญ่ได้อีกกี่ครั้ง พวกเขาไม่ใช่คนหนุ่มสาว ไม่ใช่วัยทำงาน ส่วนใหญ่อาจเป็นวัยที่เกษียณหรือใกล้เกษียณอายุแล้ว มีความพร้อมด้านสุขภาพและฐานะเศรษฐกิจพอสมควร เรียกว่าเสียเงินค่ารถเดินทางมาร่วมชุมนุมเองได้โดยไม่เดือดร้อน
ชีวิตพวกเขาบางคนในวัยเด็กอาจผ่านประสบการณ์การเสียดินแดนเขาพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 ที่ซึมซับความรู้หวงแหนแผ่นดินของคนไทยในช่วงนั้น พวกเขาเรียนประวัติศาสตร์ที่ปลูกฝังเรื่องราวการเสียดินแดนของไทยนับสิบครั้งและสอนว่า เราถอยไม่ได้อีกแล้ว
พวกเขาเห็นความสำคัญของเส้นพรมแดน เห็นพ้องในคำว่าอริราชศัตรู หากมีชาติใดก็ตามที่รุกล้ำเข้ามาในประเทศ และพร้อมสนับสนุนกองทัพในการผลักดันออกไป โดยไม่ยอมเสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว ในขณะที่คนรุ่นใหม่อาจมีทัศนคติอีกแบบว่า เราจะเสียเลือดเนื้อเพื่อรักษาพรมแดนที่ไม่มีจริง รักษาก้อนหินโบราณที่เรียกว่าปราสาทไปทำไมกัน
นี่คือคำอธิบายว่า ทำไม คนวัย 70 ขึ้น เช่น สนธิ แก้วสรร สมชาย และคนอื่น ๆ ต้องออกมา ในขณะที่พรรคสีส้มที่เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่กลับเงียบกริบและเที่ยวจับจ้องว่าจะเป็นการเรียกทหารมาจัดการวิกฤตการเมือง
คนชุมนุมมามากเกินคาดและทรหด แม้ฝนจะกระหน่ำอย่างหนักแต่พวกเขาก็ยืนหยัดและร่วมชุมนุมแบบไม่ถอย
ผู้จัดการชุมนุม คือ คนมืออาชีพที่เรียนรู้สะสมประสบการณ์การชุมนุมมากว่า 20 ปี เวทีจึงงดงามด้วยแสงสีเสียง และการปลุกเร้าในจังหวะที่เหมาะสม
แม้จะมีศิลปินเพื่อชีวิตมาร่วมขับกล่อม แต่เพลงที่ใช้กลับเป็นเพลงปลุกใจโบราณ อาทิ บ้านเกิดเมืองนอน เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมีในตอนจบ
ถามจุดติดไหม คำตอบตรงไปตรงมาคือ ไม่ใช่แสงเทียนแต่คือเปลวไฟที่โหมกระหน่ำรัฐนาวาของตระกูลชินวัตร
ถามว่า พวกเขายังมีแรงชุมนุมกันอีกกี่ครั้ง คำตอบคือ ไม่ถี่ ไม่มาก แต่พร้อมชุมนุมใหญ่เมื่อแม่ทัพส่งสัญญาณ
ทั้งหมดคือ ข้อสังเกต จากคนวัยใกล้ 70 ที่ติดตามการชุมนุมผ่านหน้าจอในบ้าน
Advertisement