ที่อาคารรัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน กล่าวถึงการที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับคลิปเสียงหลุดของนายกรัฐมนตรีและฮุนเซนเป็นคลิปจริง ว่า
เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก เพราะนายกรัฐมนตรีนอกจากจะเป็นประมุขฝ่ายบริหาร แล้วยังดำรงตำแหน่งเป็นผอ.รมน.คือผู้อำนวยการกองรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรด้วยและยังเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยและดูแลในเรื่องของความมั่นคงของชาติ ตอนแรกจนเผื่อใจเอาไว้ว่าเป็นคลิปเสียงของนายกฯแพทองธารจริงหรือไม่ แต่หลังจากที่ติดตามข่าวทางฝั่งฮุน เซน ฮุน มาเนต ก็ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง และสุดท้ายนายกรัฐมนตรี ก็ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง แต่เป็นเทคนิคในการเจรจาให้โอนอ่อนผ่อนตาม
ทั้งนี้ ต้องเข้าใจในเรื่องของการเจรจาว่าจะต้องมีเทคนิคในการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หรือชักแม่น้ำทั้งห้า แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็น ผอ.รมน. เป็นประมุขฝ่ายบริหารเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ต้องตระหนักเอาไว้ คือสมควรหรือไม่ ที่การเจรจา ไม่มีประโยคไหนเลย ที่ยืนยันในความชอบธรรม และจุดยืนของประเทศไทย ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ
ดังนั้นจุดที่น่าลำบากใจและยากที่จะเข้าใจได้ที่สุดคือการดิสเครดิตทีมงานด้วยกัน ที่ผ่านมาตนให้สัมภาษณ์สงวนความเห็น ในลักษณะที่โจมตีต่อว่านายกฯมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีกลิ่นอายของการติติงบ้างแต่ก็จะอยู่ในลักษณะการให้ข้อเสนอแนะกับทางนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการเส้นเงิน ที่เชื่อมโยง ระหว่างกลุ่มทุนกับตระกูลฮุน กับเครือข่ายนายทุนไทย ที่อาจจะเกี่ยวพันกับการกระทำผิดกฎหมาย และอาชญากรรมที่ส่งผลเสียต่อประเทศและมีคนไทยตกเป็นผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งน่าจะเป็นมาตรการกดดันที่มีประสิทธิผล เพื่อจูงใจให้ทางรัฐบาลกัมพูชาหวนกลับเข้ามา ในโต๊ะเจรจาอย่างสมเหตุสมผล เพราะตนตระหนักดีว่าในห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาที่จะต้องมีเอกภาพในการทำงานร่วมกันการติติงทำได้แต่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะโจมตีกันทางการเมือง
นายวิโรจน์ ยังกล่าวต่อว่า ตนในฐานะฝ่ายค้านและในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร ที่พยายามที่จะสนับสนุนรัฐบาลมาโดยตลอด ตนรู้สึกตกใจและผิดหวังอย่างมาก และคงต้องทำตั้งคำถาม ว่าประชาชนจะไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร ต่อไปได้อย่างไร กับประโยคที่เรียกฮุน เซน ว่า อังเคิล ตนว่าไม่ใช่ท่าทีของนายกรัฐมนตรี
แล้วยังมีประโยคหนึ่งที่ตนตกใจมาก คือ "ถ้า ฮุน เซน ต้องการอะไรจะจัดการให้" นี่หรือคือการเจรจา ตนฟังจนจบแต่ไม่มีการพูดถึงจุดยืน เป็นการพูดด้วยความสุภาพ แต่จุดยืนของประเทศไทยคำพูดที่พูดถึงเรายึดมั่นใน MOU 43 ก็ไม่มี อาจจะไม่ต้องพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แต่การยืนยันจุดยืน ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นอธิปไตยของประเทศไทย และยืนยันที่จะคลี่คลายปัญหาโดยสันติวิธีเราก็สามารถพูดได้ แต่ตนไม่ได้ยินประโยคใดในลักษณะนามทำนองนี้เลย
ทั้งนี้ เป็นการสะท้อนวิธีคิดของนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย ตนย้ำเสมอว่าการคลี่คลายข้อพิพาทครั้งนี้จะต้องใช้การสื่อสารทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็น การผ่านเวทีสากล สหประชาชาติ อาเซียน หรือทูตานุทูต การสื่อสารกับประชาชนของฝั่งตนเอง และรวมถึงการสื่อสารกับประชาชนฝั่งกัมพูชา หรือใช้กลไกกระทรวงการต่างประเทศ แต่นายกรัฐมนตรีไม่รับฟังยังคงมีนิสัยเหมือนเดิม คือใช้การดีล การคุยกันทางลับ และตนยืนยันเสมอว่า ฮุน เซน กับ ฮุน มาเนต คือกลไกสำคัญที่ก่อให้เกิดข้อพิพาทในครั้งนี้ และตนก็เคยย้ำกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่าถ้าเป็นมิตรกัน เขาจะไม่ทำกันแบบนี้วันนี้ต้องเอาความเป็นมิตร ความรู้จักกันสัมพันธ์ที่มีวางไว้ข้างหลังไกลๆ แล้วมองฝั่งตัวเองว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นประธานสมช. เป็นผอ.รมน.ก็ทำหน้าที่ไป แต่นายกฯรัฐมนตรีก็ไม่รับฟัง
"เรื่องที่เกิดขึ้นตนคิดว่าหมดเวลาของนายกฯแล้ว ตนไม่อยากจะพูดคำนี้เลย แต่ตนไม่รู้ว่าจะพูดแบกท่านนายกฯต่อไปอย่างไรแล้ว ที่จะทำให้ประชาชนคนไทยกลับมาให้ความเชื่อมั่นกับนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตรให้คลี่คลายปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกัมพูชาต่อไปจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ แพทองธาร จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
นี่คือคำถาม ที่ฟังแถลงการณ์ของนายกฯแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะคลี่คลาย ข้อวิพากษ์ วิจารณ์ และข้อสงสัยของประชาชนได้ผมว่าทางออกเดียวของนายกรัฐมนตรีตอนนี้คือลาออกจากตำแหน่งเท่านั้น" นายวิโรจน์กล่าว
ส่วนที่มีการพูดพาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 นั้น นายวิโรจน์กล่าวว่า ชั่ว ดี ถี่ ห่าง ชอบ ไม่ชอบ คิดตรง คิดต่าง เราอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว ตนอยู่ในฐานะฝ่ายค้าน ตนก็ไม่เคยติติงนายกรัฐมนตรี และรองนายกภูมิธรรม เวชยาชัย เลย ก็ให้ข้อเสนอแนะ อาจจะตรงไปตรงมาบ้าง ช่วยจัดการด้วยซ้ำไป ไม่เคยบอกว่าท่านไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ขนาดมีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยที่ส่งท่านทูตนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ไปเป็นหัวหน้าทีมเจรจา ตนยังให้ความเห็นว่าแล้วจะมีใครดีไปกว่านายประศาสน์ ที่มีความรู้ความเข้าใจ การเมืองในกัมพูชา ไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าจะมีข้อติติง แต่จะหาผู้ที่เหมาะสมกว่าท่านทูตประศาสน์ไม่ได้ และ ณ วินาทีนี้ตนยังจำได้ว่าตนให้กำลังใจ ในขณะที่ฝั่งกัมพูชาโห่ร้องให้กำลังใจตัวแทนของเขาแต่พวกเราไม่สมควรเลยที่จะมาดิสเครดิตและบั่นทอนกำลังใจของหัวหน้าทีมของเรา
"ชั่ว ดี ถี่ ห่างอย่างไร ณ วันนี้ ผมได้วางการเมืองลงแล้ว และผมเชื่อว่าการเจรจาบนโต๊ะอย่างเป็นทางการจะคลี่คลายได้จากมาตรการที่พุ่งเป้าไปที่กระเป๋าสตางค์ ฮุน เซน และฮุน มาเนต จะสามารถจูงใจให้เขากลับมาสู่โต๊ะเจรจาได้แต่นายกฯไม่เชื่อ และกลับทำในเรื่องที่ไม่สมควร อย่างมากคือการดิสเครดิต พูดลับหลังในทางไม่ดี กับทีมงานคนสำคัญ ไม่ใช่ตำหนิทหารไม่ได้ แต่ตำหนิในวงของเรา ไม่ใช่ว่าตำหนิแม่ทัพภาค 2 ไม่ได้หรือจะเห็นด้วย กับแม่ทัพภาค 2 ทุกเรื่องไม่จำเป็น แต่เราต้องกลับมาคุยในวงประชุมของเรา"นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ยังกล่าวต่อว่าหลักการง่ายๆไม่ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีแค่บริหารบริษัทหนึ่ง ถ้าในฐานะผู้จัดการไม่พอใจผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง ก็ควรเอาลูกน้องตัวเองไปด่าให้กับคู่ค้าฟังหรือไม่ ก็ต้องมาตำหนิติติงกันภายในบริษัท ในห้างร้านของเรา ขนาดการจัดการบริษัทเขายังไม่ทำกันเลย ตนจึงบอกว่าสิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำตอนนี้มันยากเกินที่จะอธิบายและยากเกินกว่าที่คนไทยจะยอมรับ และให้ความไว้เนื้อเชื่อใจได้แล้ว
เมื่อถามว่าอาจจะเป็นการยุยงของทางฝั่งกัมพูชาให้คนไทยแตกแยกกันเอง ใช่หรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า แน่นอน คลิปอันนี้ ยืนยันว่าคนปล่อยไม่ใช่ฝั่งไทยแน่ๆ แล้วมีความเป็นไปได้สูงว่าจะปล่อยมาจากทาง ฮุน เซน หรือ ฮุน มาเนต แต่คำถามคือถ้าเราเลือกวิธีทางที่ถูกต้องจะมีคลิปแบบนี้เกิดขึ้นหรือ ดังนั้นตนคิดว่า มีความเป็นไปได้ว่า การปล่อยคลิปต่างๆก็อาจจะมาจากทางฝั่งกัมพูชา แต่ถ้าฝั่งเรายึดมั่นการเจรจา อย่างเป็นทางการเป็นหลักทำงานในฐานะทีม อย่างมีเอกภาพก็จะไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น
"เป็นนายกรัฐมนตรีไปถูกล่อซื้อแบบนี้ได้เหรอ ถ้ายึดมั่นการดำเนินการอย่างเป็นทางการไม่ว่าจะกระทรวงการต่างประเทศหรือทางกลไกความมั่นคง ผ่านสภาความมั่นคงก็ไม่มีปัญหา หรือผ่านการมอบหมายให้ท่านทูต ก็จะไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เกิดขึ้น หรือใช้กลไกของปปง.ในการสืบเส้นเงิน และใช้มาตรการ ที่ตนให้คำแนะนำไปใช้กลไกของตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจเศรษฐกิจ ตำรวจไซเบอร์ จะไม่มีอะไรที่หลุดออกมาแบบนี้เลย ใช่ครับอาจจะเป็นแผนการที่ทางฝั่งตรงข้ามจงใจทำลายภาพลักษณ์นายกรัฐมนตรีแต่ เป็นนายกรัฐมนตรีเองใช่หรือไม่ที่เดินไปในหลุมพรางที่เขาขุดเอาไว้และไม่เคยเชื่อกลไกอย่างเป็นทางการ และยังเชื่อในการ ดีลประชุมลับ นี่คือประเทศไทยไม่ใช่ธุรกิจของท่าน ไม่ใช่ทรัพย์สินภายในตระกูลของท่านที่ท่านจะใช้ตั๋ว PN แลกไปแลกมา จึงบอกว่านายกรัฐมนตรีหมดความชอบธรรมแล้ว"นายวิโรจน์กล่าว
เมื่อถามว่าตอนนี้บิดาของนายกรัฐมนตรีควรมีบทบาทอย่างไร นายวิโรจน์ กล่าวว่าไม่ต้องมีบทบาท ตั้งแต่ที่พูดเรื่องพื้นที่เตะตะกร้อก็ไม่สมควรอย่างมาก ตอนนั้นต้นยังแอบให้ความเห็นในเชิงบวกว่าหายเข้ากลีบเมฆไปดีแล้ว เพราะความเห็นไม่เป็นคุณต่อการเจรจา การให้สัมภาษณ์ว่าให้เอาพื้นที่ไปเตะตะกร้อ ก็ต้องเข้าใจถึงการตัดสินใจของทางฝั่งกัมพูชา ถ้าเกิดเขาโอนอ่อนผ่อนตามเขาก็มีศักดิ์ศรีของเขา เรากำลังหยิบยืมเงื่อนไขที่เขาก็ยาก ที่จะรับได้และไม่เป็นผลดี และบิดาของนายกรัฐมนตรีมีอำนาจอะไร คิดว่าวินาทีนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะทำให้ประเทศได้คือการแถลงลาออก
ส่วนประเมินสถานการณ์ที่เปราะบางและนายกรัฐมนตรียังไม่ลาออก จะมีการ ทำรัฐประหารหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า รัฐประหารไม่มีอยู่แล้ว และจะยิ่งเข้าทางฮุนเซนและฮุนมาเนต ที่จะทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลไทย ตนย้ำได้หลายเวทีว่าความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความชอบธรรม หากไม่มีความชอบธรรมอีกฝ่ายหนึ่งจะเล่นบทเหยื่อ และตีฆ้องร้องเปล่าไปในเวทีโลก เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในเวทีนานาชาติ ความชอบธรรมจึงสำคัญที่สุด หากมีการทำรัฐประหารในช่วงนี้ ก็ไม่ต้องเจรจากันแล้ว แค่เดินสายอธิบายในนานาประเทศ ถึงการดำรงอยู่ของรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร สถานภาพของรัฐบาลก็อยู่ยากมาก ๆ
เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะเป็นเหตุชนวนให้ประชาชนลงถนนไล่รัฐบาลหรือไม่ นายวิโรจน์ ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ตนกังวล สิ่งที่ดีที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะทำให้ประเทศได้ตอนนี้คือการลาออก
" และอยากบอกไปถึงนายกรัฐมนตรีจริงๆว่าหากไตร่ตรองหรือนั่งเงียบๆคนเดียว ถ้าท่านเป็นประชาชนคนหนึ่ง ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วเจอนายกฯที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาแบบนี้ แล้วท่านยังจะไว้วางใจคนแบบนี้ ไปเจรจาเพื่อคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาได้หรือ เราจะไว้วางใจได้อย่างไร ว่าคนๆนี้จะเจรจาเพื่อผลประโยชน์สูงสุดและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศ และประชาชนของเรา เรื่องนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด คิดว่านายกรัฐมนตรีควรไตร่ตรองดูการลาออกของท่านจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่ประชาชนจะให้อภัยและประเทศชาติจะเดินหน้าต่อได้ คิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้ " นายวิโรจน์กล่าว
เมื่อถามว่ามีอะไรฝากถึงกองทัพ โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ให้ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกรอบรัฐธรรมนูญ และย้ำเสมอว่าคลิปเสียงที่เกิดขึ้น หากมองลึกๆเขาต้องการบ่อนทำลายเอกภาพของประเทศ ตนรู้ชั่วดี พอใจไม่พอใจ ณ วันนี้ ต้องนับหนึ่งถึงล้าน เอาหน้าที่เป็นหลัก สิ่งที่ฮุนเซน และ ฮุนมาเนต อยากได้เราต้องไม่ให้ น้ำขุ่นอยู่ในน้ำใสอยู่นอก ส่วนเข้าใจความเจ็บปวดกับความไม่พอใจ แต่เราให้สิ่งที่เขาต้องการไม่ได้จริง ๆ
Advertisement