เอ พศิน - แตงกวา ตอบคำถามที่คนสงสัย จะอยู่บ้านเดียวกันตลอดไปเลยหรือเปล่า ?

9 ส.ค. 64

อนาคตจะเป็นยังไงไม่รู้สำหรับคู่ของ เอ พศิน กับอดีตภรรยา แตงกวา จิราพร ที่ตอนนี้ทั้งคู่รู้เพียงแค่ว่าได้ทำหน้าที่พ่อกับแม่ให้ดีที่สุดและอย่างมีความสุขก็เพียงพอ เมื่อได้มาเป็นแขกรับเชิญในรายการ Club Friday Show ทั้ง เอ พศิน และ แตงกวา ก็ได้เปิดใจเล่าทุกเรื่องราวความรักตั้งแต่เริ่มต้นจนความหวานหมดไป เหลือเพียงความห่วงใยและหวังดีต่อกันในฐานะกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน และ เอ พศิน ยังได้เปิดคำมั่นสัญญาของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ให้ไว้กับพ่อของอดีตภรรยาอีกด้วย

s__74735667 

เอ พศิน : คุณพ่อแตงกวาเป็นคนดุมากครับ หน้านิ่งมาก มีซิกแพคแบบโอ้โห ปีนต้นมะพร้าวได้เลย คุณพ่อเขาแก่กว่าผม 5 ปีเอง

แตงกวา : สำหรับตัวแตงเอง สนิทกับพ่อมาก แล้วหนูเป็นสายอ้อนพ่อด้วยเลยจะรู้จักนิสัยพ่อดี ดุก็คือดุ แต่เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด พูดน้อยมาก แต่พอเราปรึกษาท่านจะเข้าใจเราทุกอย่างทุกเรื่อง

ถาม ซึ่งตอนนั้นเมื่อรู้ว่าน้องมาแล้ว ก็ตัดสินใจไปเจอคุณพ่อคุณแม่แตงกวา

เอ พศิน : ไม่ได้ไปเจอครับ คุณพ่อมา เพราะว่าตอนนั้นน้องจบผู้ช่วยพยาบาลพอดี แล้วมาทั้งครอบครัวเลย ก็มาที่คอนโดผม เขาก็งงๆ ตอนแรกคือผมก็โทรไปคุยกับเขาก่อนว่าพ่อ เดี๋ยวผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุด จะรับผิดชอบทุกอย่างนะครับ พ่อก็งงว่าเรื่องอะไร แม่ไม่ได้บอก แต่พอมาถึงกรุงเทพฯ ก็ได้คุยได้เจอหน้ากัน ก็ขอขมาผูกข้อมือเลย มัดมือชกที่คอนโดเลยครับ พ่อยังงงอยู่เลย แล้วผมก็ให้สัญญากับพ่อแตงกวาไว้วันนั้นนะครับ ว่าจะดูแลไม่ทอดทิ้งลูกสาวของเขาตลอดชีวิตผมครับ ตอนนั้นเรายังมีเงินไม่เท่าไหร่ มีแค่แสนต้นๆ เองครับ เรื่องแต่งงานน่าจะต้องรอไปก่อน แล้วให้แตงกวามาอยู่ด้วยกัน และเราก็ต้องรีเซ็ตตัวเองใหม่หมดเลย เพราะเราคิดว่าเราจะเป็นหนุ่มโสดจนแก่ตายคนเดียวครับ

แตงกวา : วันนั้นคุณพ่อก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาก็นิ่งๆ แล้วก็พูดว่า อืม เหรอ เออ ดี แต่ด้วยความที่เราสนิทกับพ่อ เรารู้เลยว่าท่านดีใจที่มีคนดีคนหนึ่ง พ่อเหมือนสแกนรู้ เป็นคนใจเย็น เป็นคนใจดีและเป็นคนนิ่งๆ มาดูแลเรา เขาก็ดีใจ

ถาม แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าแตงกวาเปลี่ยนไป

แตงกวา : ตอนนั้นพี่เอเขาก็น่าจะสัมผัสได้ว่าเดินใกล้ก็ไม่ได้แล้ว เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเข้าใกล้เลย แบบพอเขามาใกล้ๆ เราก็จะหงุดหงิด มันเป็นอย่างนี้เลยนะคะ นานเลยที่เป็นอาการแบบนั้นเกือบครึ่งปีได้เลยค่ะ

เอ พศิน : มีช่วงหนึ่งเหมือนแพ้ครับ อาการเขาเหมือนคนแพ้ท้องแล้วไม่อยากอยู่ใกล้เรา แต่ตอนนั้นเลโก้ก็คลอดแล้วนะครับ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคสหนึ่งที่เป็นเรื่องเหลือเชื่อเหมือนกันหรือเปล่า คือเราไปพิสูจน์เรื่องลี้ลับในสถานที่แห่งหนึ่งด้วยกัน ตอนนั้นเขาจ้างแพงก็เลยไปเป็นแขกรับเชิญรายการโทรทัศน์ เป็นสุสานหลายร้อยปี มีศพอยู่จริง เราก็เข้าไปด้วยกัน แล้วเขาห้ามเอาวัตถุมงคลเข้าไป แต่แตงกวาแอบเอายันต์ท้าวเวสสุวรรณเข้าไป แต่ผมต้องไปนอนในหลุมที่เคยมีศพอยู่ เขาก็เลยเอายันต์ให้ผม ตอนนั้นยังไม่มีปัญหาอะไรกันเลยนะครับ ตอนนั้นเรายังหวานมากจนเลี่ยนเลย พอเขาเอายันต์ใส่ให้ผม แล้วผมก็ลงไปนอน อยู่ดีๆ ก็มีลมพัดจากพื้นเข้าไปหาเขา เขาก็ขนลุกวูบ แล้วหลังจากนั้นกลับมาเขาก็เริ่มเปลี่ยน บางทีผมรู้สึกว่าเขาเหมือนผู้ชายมากขึ้น อันนี้ต้องบอกก่อนนะครับว่าเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล สายตาเขาก็ไม่เหมือนเดิม ทุกอย่างเปลี่ยนไป แล้วเหมือนกับว่าเคมีมันเริ่มเปลี่ยนข้างใน ซึ่งผมก็ไม่คิดมันจะเป็นเหตุเป็นผล แต่ว่ามันก็แปลก แล้วหลังจากนั้นเขาก็ฝันเห็นพญานาค

แตงกวา : เราไม่เคยฝันเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นเลย แล้วอยู่ๆ หนูก็ฝันเห็นพญานาคกลายเป็นร่างผู้ชายเข้ามาโอบกอดเราแล้วก็บอกว่าหนีเขาไปทำไม ทำไมไม่อยู่กับเขา พอเราตื่นขึ้นมาเราก็งงว่าใคร หนีอะไร เราก็ไม่เชื่อ แต่พอสักพักหนี่งบังเอิญมีคนชวนไปเชียงราย แล้วเราก็ไปเจอวัดหนึ่งที่อยู่กลางแม่น้ำ พอไปถึงวัดเราก็ไปถามพระอาจารย์ว่าที่นี่มีถ้ำใช่ไหมคะ  เราถามเหมือนในความฝันที่เราฝัน พระอาจารย์บอกมี

เอ พศิน : หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีสัมผัสพิเศษ เรื่องสัมผัสพิเศษในครอบครัวของเราเริ่มจากตรงนั้นเลย ในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ผมก็แบบปฏิบัติธรรมเยอะ นั่งสมาธิเยอะ ทำบุญเยอะ ทำให้เวลาที่เราเจอเหตุการณ์อะไรที่เราคาดไม่ถึง เราสามารถควบคุมจิตใจเราให้เย็นได้ ซึ่งเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงไปกับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ด้วย มันจะค่อยๆ บางคนก็บอกว่าเป็นบททดสอบในชีวิตของเรา อดีตชาติบ้างอะไรบ้าง ผมก็มองในมุมที่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลว่าอาจจะเป็นคู่เก่าของเขาที่เขาฝันเห็น

เอ พศิน : คือ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดในช่วงที่เขายังผมยาวอยู่ ซึ่งอยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกอยากจะตัดผมให้สั้นโดยที่ไม่รู้สาเหตุนะครับ เราก็ไปหาร้านตัดผมกี่ร้านก็ไม่ได้ตัด ซึ่งก่อนไปตัดผม เขาไปไหว้พระพิฆเนศมาก่อน ไปขอพร ร้านไหนก็ไม่รับเพราะคิวเต็มทุกร้านเลยครับ หรือไม่เขาก็บอกว่าร้านปิดแล้ว เขาก็เลยไปร้านหนึ่งที่แบบร้านสุดท้ายที่เข้า ร้านเขาก็บูชาพระพิฆเนศอยู่ ปรากฏว่าร้านนั้นตัดให้เขา แล้วเขาก็เอาผมยาวๆ ของเขากลับมาบ้าน ซึ่งไม่รู้ว่าเอากลับมาทำไม พอผมกลับมาที่บ้าน เขาก็เดินหนี เดินหลบไปหลบมาไม่ยอมเจอหน้า แล้วพอมาเจอหน้ากันกลางบ้านเขาก็ลงไปดิ้นกับฟื้น เหมือนจะช็อกน้ำตาไหลไม่หยุด

แตงกวา : ตอนนั้นที่เราเกิดอาการแบบนั้นเพราะว่าเราปวดหัว เราเลี่ยงที่จะไม่เจอเขา แต่พอมาเจอหน้าเขา เราเกิดอาการน้ำตาร่วง แล้วก็กำหัวตัวเองแบบมันควบคุมตัวเองไม่ได้ค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้คิดไปเองด้วยนะคะ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นเราจำได้ทุกเหตุการณ์ แต่ควบคุมการกระทำตัวเองไม่ได้ค่ะ เราตอนนั้นคือจิกผมร้องไห้ ขอโทษป๊า ขอโทษทุกอย่างที่เกิดขึ้นพูดอย่างนี้เลยค่ะ

เอ พศิน : ตอนที่เขาเกิดอาการแบบนี้ ลูกก็อยู่นะครับ ตอนนั้นลูก 5 ขวบ แล้วเขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร ลูกยังบอกเรา ปะป๊า จัดการแม่สิ (หัวเราะ) แม่ร้องไห้ทำไม ลูกคือนิ่งมาก ตอนนั้นผมก็เพิ่งกลับมาจากกรรมฐานไปฝึกสมาธิมาที่ปราสาทหินพนมรุ้งครับ แล้วผมก็นั่งสมาธิแล้วในใจของเรา (คิดไปเอง) เชิญพระศิวะ เชิญบารมีท่านว่าถ้าท่านมีอยู่จริง หรือว่าท่านจะเป็นพลังงานใดๆ ก็ตาม ช่วยปัดเป่าสิ่งที่มันไม่ดีออกไป แล้วเราก็เอามือวางบนหน้าผากเขา แล้วเขาก็ค่อยๆ มีสติขึ้นมา

แตงกวา : เราก็ค่อยๆ มีสติขึ้นจากการที่แบบปวดหัวเหมือนจะระเบิดค่ะ แล้วก็ร้อนๆ ในหัวมันก็เริ่มจางลง ตอนนั้นเราก็คุยกับพี่เอแบบมีสติตลอด ตอนนั้นหัวเราก็ค่อยๆ เริ่มเย็นลง แต่ก็ยังมีปวดหัวอยู่นิดๆ แล้วเราก็บอกพี่เอว่า ป๊าเอาผมหนูมาเดี่ยวนี้ๆเอาไฟจุดผมหนูเดี๋ยวนี้ แล้วพอจุดไฟคือผมไม่ไหม้ด้วยค่ะ

เอ พศิน : ผมก็เอามือจับที่ผมของเขาที่เอากลับมาด้วยหลังจากที่ตัด มันเหมือนแบบไฟฟ้าวิ่งครับ จากแขนขึ้นไปแล้วไถลผ่านไหล่ไปเหมือนกับขนลุก เราก็คิดแล้วว่าเอาแล้วอย่างไรเนี้ย ภาพผมตอนนั้นนึกถึงตอนที่เราไปรายการนั้นด้วยกัน เขาให้ยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วไล่วิญญาณทั้งหมดออกไปจากสุสาน เราก็พูดตามสคริปต์ ภาพมันกลับมาเลย เพราะว่าพลังงานพวกนี้มันชอบเกาะตามสรีระร่างกายและควบคุมจิต ตอนนั้นคิดแบบนั้นนะครับ เราก็เลยเอาไปเผา ไม่ไหม้

s__74735669

ถาม ใครเป็นคนที่เริ่มว่าเราจะเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์เป็นแบบนี้

แตงกวา : เป็นคนคิดเองค่ะ ตอนนั้นมันมีหลายอย่าง มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้แตงต้องคุยกับพี่เอ เพราะพอเรามาคบกันและได้อยู่ด้วยกันจริงๆ มันทำไมไม่เหมือนตอนที่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน

เอ พศิน : อย่างตอนจะหย่า เขาก็บอกเราตรงๆ ว่าหย่าดีกว่า เขาอยากพิสูจน์ตัวเอง เพราะเห็นป๊าทำงานแบบนี้ อย่างที่เห็นงานเยอะก็จริง แต่อาชีพนักแสดง ถ้าวันหนึ่งเกิดป๊าการงานน้อยลงหรือทำงานไม่ไหวตอนนั้น แตงก็คิดว่าเขาก็ช่วยเราไม่ทันแล้ว เขาก็เลยอยากทำงานที่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

ถาม แต่เหตุผลนี้ก็ไม่น่าที่จะเป็นเหตุผลที่ต้องหย่าเลย แต่เพราะตั้งแต่ที่แตงกวาออกไปทำงานนอกบ้าน ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น

แตงกวา : มันน่าจะเป็นความอิ่มตัวกับความรักมากกว่าค่ะ แล้วเราก็รู้สึกว่าอยากอยู่แบบโสดๆ มากกว่า ไปทำงาน เขาจะได้ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องหวงว่าจะไปกับใครหรือเปล่า จะได้ตัดความกังวลตรงนี้ไป แล้วอีกอย่างเราอยู่จนเราอิ่มตัว พอรักมากๆ แตงจะเป็นคนอิ่มเร็ว มันเหมือนกลับไปจุดเริ่มต้นที่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันค่ะ มันย้อนกลับไปเหมือนเป็นเพื่อนกัน ไม่อยากเป็นสามีภรรยากันแล้ว ในใจเราตอนนั้นนะ ก็เลยดึงพี่เอบอกว่าเราอึดอัด แต่กว่าที่เราจะพูดออกมากับพี่เอ เราก็ถามตัวเองนะคะ ว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เหรอก็ทบทวนตัวเองมาเกือบ 2 ปีเลยค่ะ

เอ พศิน : เขาก็พูดกับเราตรงๆ นะครับ ว่าเขาอยากที่จะหย่า เพราะเขาบอกว่าเขาอยากทำอะไรอีกเยอะ แล้วก็ไปนู่นไปนี่  ไม่อยากให้เราห่วง หวง ตอนนั้นใจเราก็คิดนะครับ ว่าทำทีละอย่าง ไม่ต้องทำทุกอย่าง และเราก็ยังซัพพอร์ตได้ แต่เป้าหมายในชีวิตของเขาคืออยากให้ลูกสบาย อยากให้ลูกประสบความสำเร็จ เราก็เลยต้องยอม เพราะว่าเราไปขวาง มันเป็นการตัดสินใจผิดของเรา เราเองก็จะเสียใจที่เราไปขวางเขา ซึ่งผมก็ไม่ได้งงกับการที่เราต้องหย่ากันนะครับ เพราะว่าเราห่างกัน 22 ปี การผ่านประสบการณ์ในชีวิตมันต่างกันเยอะมาก เราก็เลยต้องรับฟังก่อน แต่สิ่งที่เราคุยกับเขาเนี่ย มีแต่ต้องให้กำลังใจเขาตลอด แล้วก็บอกเขาว่าบ้านหลังนี้ของลูกนะ เราไม่อยากให้ลูกขาดอะไร เพราะฉะนั้นต่อให้เราเปลี่ยนสถานะ เราก็ไม่อยากให้ลูกอยู่ที่อื่น เพราะฉะนั้นถ้าลูกอยู่ที่นี่ได้ แตงกวาก็อยู่ได้ แต่ว่าต่อไปนี้มีอะไรคุยกัน

ถาม ทำไม ณ ตอนนั้นถึงรู้สึกว่าต้องหย่า เพราะทั้งๆ ที่หย่าเสร็จก็อยากให้เขาอยู่ด้วยกันในชีวิตตลอดไปด้วย ทำไมต้อง    นิตินัย ทำไมไม่แค่พฤตินัยก็ได้

แตงกวา : เพราะว่าเราอยากเป็นอิสระ ไม่อยากมีคู่ชีวิตแล้ว มันหมดรักแล้ว เราจะรั้งกันไว้ทำไม ก็อยากให้พี่เอไปเจอคนที่มีความรักที่เป็นภรรยาอะไรจริงๆ ซึ่งเรารู้สึกแบบนั้นเลย เพราะว่าก่อนหย่า เราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย เขาไม่ได้โดนตัวเราเลยประมาณ 1-2 ปีได้ค่ะ ถามว่าเรามีจะมีความรู้สึกหึงหวงเขาไหม ไม่เลยค่ะ คือเราตัดขาดไปเลย

เอ พศิน : เขาก็เคยบอกเราว่าป๊าจะมีอีกคนก็ได้นะ แล้วมาอยู่ด้วยกัน อยู่ในบ้านเดียวกัน คือตอนนั้นเขาพูดแบบนั้นเลยนะครับ แต่นี่คือก่อนจะตัดผม

แตงกวา : เพราะเราทำหน้าที่ได้ดีทุกอย่างเลย ยกเว้นหน้าที่ของภรรยา

ถาม แล้วในช่วงที่หย่ากันแล้ว มีกติกาอะไรในการอยู่ร่วมกันไหม

เอ พศิน : มันเกิดการให้เกียรติกันขึ้นโดยอัตโนมัตินะครับ ทุกวันนี้เราก็เหมือนเพื่อนกันที่แบบให้เกียรติกัน ห่วงใยกันเรื่องอาหารการกิน เรื่องลูก เรื่องงานเราก็จะปรึกษากัน ถ้าสมมติว่าเขาเจอคนนี้ เขาก็มาปรึกษาเราว่าคนนี้เป็นยังไง สมมติผู้หญิงคนนี้มาชอบเราแบบเขาคลั่งรักรุนแรงมาก ป๊าว่าแบบนี้โอเคไหม เขาก็พาเราไปเจอนะครับ

ถาม ขออนุญาตถามคำถามหนึ่งเป็นไปได้ไหมว่าแตงกวาเพิ่งรู้ตัวในเชิงรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไปของเรา

แตงกวา : ไม่เกี่ยวเลยค่ะ จริงๆ เรารู้ตัวตั้งแต่ประถมแล้วค่ะ ว่าเราชอบอะไร เราเป็นอย่างไร แตงไม่ได้ระบุความรักของตัวเองตั้งแต่เด็กเลยนะคะ มันไม่ได้ระบุที่เพศ แต่มันระบุที่ว่าคุณกับฉันเข้ากันได้ไหมแค่นั้น ถ้าเอาชัดๆ เลยก็คือแตงก็ไม่ใช่ทอมนะคะ แตงก็เป็นคนคนหนึ่งถ้าคุณไม่มองเรื่องเพศ ก็คือแตงกวานี่แหละ เป็นตัวของแตงกวาเอง แตงจะไม่เปลี่ยนเพื่อให้อีกคนมารัก แล้วคุณก็ไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อให้แตงไปรัก ถ้าแตงจะรัก แตงรักที่ตัวของเขาเอง ถ้าพูดเราก็คือผู้หญิงค่ะ แต่คือไม่ได้ระบุว่าต้องรักอะไรอย่างไร ไม่ได้เกี่ยวว่าต้องเป็นเพศอะไร แต่ถ้ารักคนนี้ก็คือรัก

s__74735660

ถาม ที่พูดว่าถ้าพี่เอได้เจอใครที่รู้สึกว่าเป็นคนที่รักเขา และเช่นเดียวกันแตงกวา าจจะได้เจอใครที่เป็นคนรักที่เราอยากจะเริ่มต้นความรักอีกครั้ง แล้วเราจะเดินหน้ากันไปอย่างไร เช่น พี่เอ ก็ต้องยอมรับด้วยนะ คนนี้คือคนที่แตงกวารัก หรือผู้หญิงที่จะมาอยู่เคียงข้างพี่เอ แตงกวาก็ต้องยอมรับด้วยนะ เลยอยากถามว่าสเต็ปต่อไปความรู้สึกและหวังดีในทางปฏิบัติ

เอ พศิน : ในทางปฏิบัติ ผมไปหลายคนแล้วครับ

ถาม ตอนนี้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่คือ

เอ พศิน : ถ้าจะพูดในมุมของผมก็เหมือนเป็นกัลยาณมิตร ก็ยังเป็นครอบครัว เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษา

แตงกวา : มันมากกว่าคำว่าครอบครัวและมากกว่าคำว่าชีวิตคู่ มากกว่าคำว่าคู่ชีวิต มันเหมือนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาแล้วค่ะ

ถาม คำว่ามากกว่าคู่ชีวิต แต่สิ่งหนึ่งคือไม่ใช่สามีภรรยากัน ยังคงอยู่ในบ้านเดียวกันมีความเป็นพ่อและแม่ของลูก แต่การที่เราไม่สามารถใช้ชีวิตคู่ด้วยกันได้จริงๆ คือการเลิกกันในฐานะสามีภรรยาแต่ยังอยู่ในบ้านเดียวกัน ความสัมพันธ์มันจะรู้สึกแบบวางตัวอย่างไรเวลาที่อยู่ด้วยกันมีแบบนี้บ้างไหม

เอ พศิน : มันเหมือนยากแต่ไม่ยากครับ เพราะว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเกิดจากความเข้าใจกัน เข้าใจสิทธิในชีวิตของกันและกัน เพราะทุกคนไม่สามารถที่จะทำให้ใครคิดเหมือนเราได้ ถ้าเราให้เกียรติเขา รับฟังเขา เราสามารถที่จะเข้าใจเขาได้เนี่ย เราก็จะรู้ว่าบางทีเป้าหมายชีวิตของแต่ละคนก็สำคัญ ถ้าเราไม่ขัดขวาง ถ้าเราซัพพอร์ตดูแลหรือว่ารับฟังกันมากขึ้น เขาก็มีความสุขมากกว่าเดิมได้เหมือนกัน

เอ พศิน : ส่วนลูกชาย น้องเลโก้ ผมไม่ห่วงเลยนะในเรื่องของความเข้าใจ เพราะว่าเขาแทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย เหตุผลคือเขาเป็นลูกเรา แล้วเขาก็อยู่กับเราตลอดเวลา แล้วบางทีเขาก็ถามแม่ว่า แม่หล่อไปแล้วนะ แม่ไม่ต้องหล่อหรอก บางทีเขาก็ถามว่าแม่มีสาวแล้วปะป๊าละ สาวปะป๊าอยู่ไหน เขามีความเข้าใจ แล้วเขามีความสุขกับการที่เราให้เวลาเขาเยอะมากแทบจะทั้งหมดครับ

ถาม ในการเปลี่ยนสถานะภาพ แต่ยังเป็นกัลยาณมิตรก็อย่างที่น้องเลโก้แซวว่าคุณแม่อย่าหล่อไปนะ ก็เพราะว่ามีสาวรุม

แตงกวา : ก็มีมาเที่ยวที่บ้านเรื่อยๆ เพราะว่าบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน แล้วเราก็มองว่าก็เป็นผู้หญิงด้วยกันไม่เสียหายอะไรที่เขาจะมาเที่ยวที่บ้านกินข้าว เลโก้เขาก็ดีใจด้วยนะคะ

เอ พศิน : ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะผมก็ชอบผู้หญิงอยู่แล้ว คือแตงกวามีเพื่อนผู้หญิงเยอะ ไม่เป็นไร เรายินดีต้อนรับครับ บางทีเขาก็ยังแนะนำให้เราด้วยว่าคนนี้น่าจะเข้ากับป๊าได้นะ

ถาม และทั้งคู่ก็ยังเป็นที่ปรึกษาความรักให้แก่กันและกัน และคัดกรองคนให้แก่กันและกันด้วย

แตงกวา : ต้องคัดค่ะ เพราะว่าคนที่จะเข้ามาเขาจะไม่ได้เจอแค่พี่เอคนเดียว ต้องเจอเรา ต้องเจอเลโก้

เอ พศิน : ต้องรักเด็กจริงๆ แล้วเข้ากับเด็กได้ แล้วก็ต้องเข้าใจสถานภาพเราด้วย เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ที่มีเราแล้วจะไม่มีแตงกวา จะไม่มีลูก คือคนที่เข้ามาต้องใช้ความเข้าใจอย่างเข้มข้นเลยทีเดียว

แตงกวา : บางคนก็เข้าใจว่าจะอยู่อย่างนี้ตลอดเลยเหรอ มันไม่ใช่ค่ะ ทุกคนที่เข้ามา แตงก็จะบอกว่าต้องอยู่จนกว่าลูกของฉันจะโต จนดูแลตัวเองได้ พอลูกโตให้ลูกตัดสิน เราก็อาจจะแยกไปซื้อบ้านที่อยู่ข้างๆ กัน เพื่อเลโก้อยากเดินมาหาบ้านแม่ บ้านพ่อ อันนี้คือวางอนาคตไว้แล้วค่ะ ว่าแยกแน่นอน คนละหลัง แต่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน

เอ พศิน : ถ้าใครที่จะเข้ามาก็ต้องมาคุยกันแบบผู้ใหญ่สามคน เพราะว่าตอนนี้ก็ยังเป็นครอบครัวกันอยู่

ถาม มันมีโอกาสไหมกับความสัมพันธ์แบบนี้ที่เรารู้สึกว่ามันแน่นแฟ้นกว่าอีก ว่าวันหนึ่งข้างหน้าที่สุดแล้วก็คือคู่ชีวิตกันนั่นแหละ

เอ พศิน : หมอดูเก่งๆ ยังทำนายอนาคตได้ไม่แม่นยำเท่าไหร่เลย เพราะฉะนั้นไม่มีใครทำนายอนาคตได้ผมคิดว่าปัจจุบันเรามีความสุข เรามองเห็นพรุ่งนี้ใกล้ๆ เรามีความสุขแล้วเราก็มีความลงตัวในชีวิตแล้วเราก็มีเป้าหมายเดียวกันผมว่าน่าจะมากพอแล้ว

s__74735670

ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป

https://youtu.be/cbd_i8HO6GM
https://youtu.be/UP7kDTM-nkw
https://youtu.be/3x1TtknhjAw
https://youtu.be/nsNeAH58-fo
https://youtu.be/vGBRdw6AffU
https://youtu.be/xh1qWPWuPMo
https://youtu.be/yCznueC4TgA

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส