กรณีชาวบ้านหมู่ 9 บ้านกระชายใหญ่ ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ อยู่อาศัยห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1.5 กิโลเมตร เป็นบ้านซึ่งมีเลขที่ แต่ไม่มีไฟฟ้าใช้มานานกว่า 50 ปี โดยตัวแทนกลุ่มชาวบ้านได้พยายามร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด หรือแม้แต่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แต่ก็ไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมถึงช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง กลุ่มผู้สมัครได้เข้ามาหาเสียง และวาดฝันให้กับกลุ่มชาวบ้าน หากได้รับการเลือกตั้งแล้วจะมาดูแล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สนใจชาวบ้าน
ล่าสุดวันที่ 15 ก.พ.64 เวลา 09.30 น. ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่ไปยังหมู่ 9 บ้านกระชายใหญ่ ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ มีนายจีรวัฒน์ นันทวรเวช ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.บุรีรัมย์ เดินทางมาพร้อมกับทีมวิศวกรรม เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินการติดตั้ง และขยายไฟฟ้า เดินทางมาพร้อมกับกระดาษ A4 จำนวน 4 แผ่น ซึ่งเป็นแผนงานการขยายและเตรียมดำเนินการติดตั้งเสาไฟฟ้าให้กับชาวบ้าน 7 หลังคาเรือน 35 คน
ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้นับจำนวนเสาไฟฟ้า โดยจะต้องติดตั้งเสาไฟฟ้าแรงสูง (ลักษณะตัวที) จากกลางหมู่บ้าน เชื่อมเข้ามายังบ้าน 7 หลังคา โดยใช้เสาแรงสูง 29 ต้น จากนั้นจะมีหม้อแปลงไฟฟ้าติดตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลาง เป็นหมอแปลงขนาด 30KVA
จากนั้นจะใช้เสาไฟแรงดันต่ำ (ลักษระเสาต้นเดียว) เชื่อมเข้ามาที่กลางกลุ่มบ้าน 7 หลัง อีกจำนวน 15 ต้น รวมงบประมาณการติดตั้งรวมทั้งสิ้น 1 ล้านบาท ซึ่งงบดังกล่าวได้รับการยืนยันจากผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว
นายจีรวัฒน์ นันทวรเวช ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.บุรีรัมย์ บอกว่า วันนี้ตนเดินทางมาเพื่อเยี่ยมให้กำลังใจ ได้เห็นน้ำตาของการรอคอยไฟฟ้ามานานกว่า 53 ปี ตนจึงได้พาทีมงานเข้ามาดูสถานที่ แล้ววางแผนในส่วนต่อขยายของระบบเสาไฟฟ้า ตนยืนยันว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไม่เคยทอดทิ้งประชาชน ยังยืนหยัดตามสโลแกน “ไฟฟ้าสว่างทั่วทิศ สร้างคุณภาพชีวิตทั่วไทย”
วันนี้จึงลงมาดูสถานที่ เพื่อรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา ในการแก้ไขความเดือดร้อนครั้งนี้ ซึ่งที่ผ่านไม่ใช่การไฟฟ้าเพิกเฉย หรือไม่สนใจชาวบ้าน 7 หลังคา แต่ด้วยปัญหาเกี่ยวกับที่ดิน เทศบาลตำบลประสาทต้องประกาศเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ ทำให้การไฟฟ้าไม่สามารถมาปักเสา หรือดำเนินการตามความต้องการได้ หากวันนี้เทศบาลและกรมที่ดิน ตกลงได้ข้อยุติแล้ว การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสามารถดำเนินการปักเสา และทำให้ชาวบ้านมีไฟฟ้าใช้งานได้ภายใน 1 เดือน ภายใต้งบประมาณ 1 ล้านบาท
ในวันเดียวกันนี้ ช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ตัวแทนจากกรมพลังงานจังหวัดบุรีรัมย์ เดินทางมาเพื่อสอบถามความคิดเห็นของชาวบ้าน ซึ่งหากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยังไม่สามารถติดตั้งเสาไฟฟ้าให้กับชาวบ้านได้ จะมีทางเลือกที่ 2 โดยกรมพลังงานจะเข้ามาติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เป็นการชั่วคราว ภายใต้งบประมาณหลังคาเรือนละ 30,000 บาท
แต่ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมพลังงาน ซึ่งต้องอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ ไม่เป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า ดังนั้นการเก็บรวบรวมข้อมูลวันนี้ เพื่อเสนอให้ระดับอธิบดีรับทราบ ก่อนที่จะอนุมัติช่วยเหลือชาวบ้าน 7 หลังคาเรือน
ทีมข่าวได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังปลัดเทศบาลตำบลประสาท ให้ข้อมูลว่า ที่ดินดังกล่าว เป็นที่สาธารณะประโยชน์ หมายถึง ที่ดินที่ทางราชการได้จัดให้ หรือสงวนไว้เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ ป่าช้า ห้วยหนอง ถนนทางหลวง ทะเลสาบ
ดังนั้นที่ดังกล่าวอยู่ในที่ตามประกาศของเทศบาล ว่าด้วยที่สาธารณะประโยชน์ จึงไม่สามารถดำเนินการให้ปักเสาไฟฟ้าได้ เพราะหากอนุญาตจะกลายเป็นสนับสนุนให้มีการรุกพื้นที่ป่าชุมชน หรือพื้นที่ส่วนรวม แต่ทั้งนี้จะมีกรณียกเว้นเป็นกรณีพิเศษ เช่น สร้างวัด โรงเรียน หรือป่าช้า โดยได้รับอนุญาตจากเทศบาลให้ใช้ที่ดังกล่าว จึงจะปักเสาไฟฟ้าได้
นางพัชรกันย์ มีมัน อายุ 54 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 บ้านกระชายใหญ่ เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาแล้วกว่า 3 สมัย ซึ่งอยู่ตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้านคนเก่า ที่ออกมาช่วยขับเคลื่อนอยากให้บ้าน 7 หลังมีไฟฟ้าใช้ แต่ทุกอย่างก็ติดอยู่ที่เงื่อนไขของเทศบาลตำบลประสาท ที่ไม่ยอมเซ็นเอกสารให้กับชาวบ้าน โดยอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ แต่ชาวบ้านยังถือครองเอกสารสิทธิ์ส.ค.1 และแม้ว่าชาวบ้านจะขอให้มีการดำเนินการแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว ทางด้านของเทศบาลก็เพิกเฉย ไม่ได้สนใจความเดือดร้อนของชาวบ้าน กระทั่งต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน
แต่หากย้อนกลับไปช่วงประมาณ 30 ปีก่อน ตอนนั้นตนอายุประมาณ 15 ขวบ จำได้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ยกเสาไฟฟ้าประมาณ 10-20 ต้น นำมาวางเอาไว้บริเวณใกล้กับวัดด่าน กลางหมู่บ้าน แต่ด้วยไม่มีการแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว เทศบาลก็ไม่อนุญาตให้มีการติดตั้งเสาไฟฟ้า เพราะอ้างว่าเป็นที่สาธารณะประโยชน์ การไฟฟ้าก็ได้ยกเสาไฟฟ้าทั้งหมดกลับไป
ดังนั้น แนวทางออกควรเป็นหน้าที่ของเทศบาลตำบลประสาท ได้พูดคุยร่วมกับกรมที่ดิน ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้าน เพราะเป็นหน่วยงานราชการ แต่ทำงานต่างคนต่างหน้าที่ และมีการวัดระยะแนวเขตไม่ตรงกัน จึงทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนมานานกว่า 53 ปี และไม่ใช่แค่ช่วงเวลาแค่ 53 ปี ในรุ่นของพ่อแม่ ซึ่งอยู่อาศัยบนพื้นที่ตรงนี้มานานกว่า 80-100 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้
