"ปลื้ม" โต้ขืนใจเด็ก 14 มีลูกสาว 2 รู้หัวอก–ชาวบ้านฉะ ฟังไม่ขึ้น ยันเด็กเรียบร้อย (คลิป)

27 เม.ย. 61
จากกรณีที่ชุดตำรวจสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ออกติดตามจับกุมตัว นายกีรติ คำมี หรือ "ปลื้ม" อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาคดีข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และถูกกล่าวหาว่าเป็นแก๊งปล่อยเงินกู้ โดยวันนี้ (26 เม.ย.) "ปลื้ม" พร้อมนายพนา คำมี บิดา เดินทางมาร่วมพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าวใน "รายการต่างคนต่างคิด" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 ก่อนที่จะเดินทางไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ (อ่าน : “ปลื้ม” เปิดใจรับผิด ลั่น ไม่ประกันตัว ปัดเป็นแก๊งเงินกู้ข่มขืนเด็ก 14 – “แม่เหยื่อ” ฉะกลางรายการ ไม่เคยเรียกเงินล้าน) โดยนายปลื้มยอมรับหลังจบรายการด้วยว่า ตัวเองมีลูกสาว 2 คน จึงไม่คิดที่จะไปใช้กำลังย่ำยีใคร
นายกีรติ คำมี หรือ ปลื้ม เดินทางเข้ามามอบตัว
หลังจากนั้น นายปลื้มได้เดินทางไปที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี เพื่อเข้ามอบตัว พร้อมกับนายพนา คำมี บิดา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวผู้ต้องหา เข้าไปภายในห้องสอบปากคำ ภายในห้องประชุมรักษ์วินัย โดยถูกสวมกุญแจมือ มี พ.ต.อ.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ใช้เวลาสอบปากคำไม่นาน ก่อนเปิดแถลงข่าว
พ.ต.อ.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี แถลงฯ
พ.ต.อ.ฐิตวัฒน์ ระบุว่า ผู้ต้องหาให้การภาคเสธ ในข้อกล่าวหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง อายุต่ำกว่า 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เบื้องต้นจะมีการคุมตัวไปสอบปากคำที่ สภ.แสนสุข พื้นที่เกิดเหตุ โดยการเดินทางมาของปลื้ม เป็นการประสานงานเข้ามามอบตัว โดยติดต่อผ่านบิดาของผู้ต้องหา เบื้องต้นพนักงานสอบสวนมีการคัดค้านการประกันตัว ซึ่งหากผู้ต้องหาจะประกันตัว ต้องยื่นเรื่องประกันในชั้นศาล โดยนายปลื้ม ผู้ต้องหา ยืนยันว่า ตนไม่ได้ข่มขืนเด็กหญิงวัย 14 ปี ซึ่งระบุว่า ตนยอมรับว่าการกระทำของตนผิดตามหลักกฎหมาย พร้อมอยากจะขอโทษครอบครัวของเด็กหญิงด้วย ทั้งนี้ ระบุว่าตนไม่มีอะไรที่กังวลใจแต่อย่างใด รู้สึกสบายใจที่ได้เข้ามามอบตัว
ชุมชนวัดตาลล้อม อ.แสนสุข จ.ชลบุรี
นอกจากนี้ ทีมข่าวลงพื้นที่ชุมชนวัดตาลล้อม อ.แสนสุข จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นชุมชนที่ระบุว่ามีกลุ่มเก็บเงินกู้นอกระบบมาเก็บอยู่เป็นประจำ
นางสาท  ชาวบ้านในพื้นที่วัดตาลล้อม ผู้ใช้บริการงินกู้นอกระบบ
โดยนางสาท ชาวบ้านในชุมชน เปิดเผยว่า ตัวเองใช้บริการเงินกู้นอกระบบ ซึ่งดอกอยู่ที่ร้อยละ 20 บาท โดยตนกู้มา 10,000 บาท ชำระคืนวันละ 500 บาท รวม 24 วัน คิดเป็นดอกทั้งสิ้น 2,000 บาท ส่วนตัวระบุว่าแก๊งพวกนี้ก็ไม่ได้โหดร้าย หากชำระเงินตรงตามกำหนด เมื่อทีมข่าวนำรูปนายปลื้มให้ดู นางสาท ระบุว่า ไม่ใช่แก๊งเดียวกับที่มาเก็บเงินกับตน
คนเก็บเงินกู้นอกระบบในพื้นที่ พูดคุยกับผู้สื่อข่าว
ระหว่างนั้นทีมข่าวพบวัยรุ่น 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ 1 คัน สวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหน้ากากผ้า สวมเสื้อคลุมทั้ง 2 คน มาเก็บเงินที่นางสาทพอดี โดยทีมข่าวพยายามเข้าไปสอบถาม ทั้ง 2 คน มีท่าทีตกใจ พร้อมให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ตัวเองเพียงมาเก็บเงินเท่านั้น โดยไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของเงิน ทั้งนี้ ทีมข่าวนำรูปนายปลื้มให้ดู กลุ่มเก็บเงินกู้ก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร ยืนยันว่าไม่ใช่กลุ่มเดียวกันกับพวกตน
นายป๊อป (นามสมมติ) ญาตินายปลื้ม
นอกจากนี้ นายป๊อป (นามสมมติ) ญาตินายปลื้ม เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเป็นคนที่จะไปเก็บเงินดอก ที่บ้านของน้องผู้เสียหายกับปลื้มอยู่บ่อยครั้ง โดยวันดังกล่าว พ่อของปลื้มมีการเสนอเงินให้ ซึ่งครอบครัวของเด็กหญิง ระบุว่าต้องการเงินหลักแสนบาท ซึ่งตนเพียงอยากให้สังคมเข้าใจว่า นายปลื้มไม่ได้ข่มขืนเด็กหญิง นายปลื้มยังเคยเล่าให้ตนฟังว่าน้องเขาชอบปลื้ม ซึ่งตนก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ส่วนตัวยอมรับว่าปลื้มผิดที่มีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุ 14 ปี อย่างไรก็ตาม นางสาวสุรีพร ชมพูทอง หรือ ขนุน อายุ 40 ปี เพื่อนบ้านเด็กหญิงวัย 14 ปี เปิดเผยว่า ลูกสาวของตนเป็นเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกับเด็กผู้เสียหาย ซึ่งเท่าที่ตนเห็น เด็กคนนี้เป็นเด็กเรียบร้อย อยู่แต่บ้าน พ่อแม่หวงมาก ไปรับ-ส่งลูกทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ตอนที่พ่อของเด็กยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งตอนนี้พ่อเด็กเสียชีวิตไปแล้ว แต่แม่ก็ยังคงถูกเลี้ยงดูอย่างดีเหมือนเดิม
สุรีพร ชมพูทอง หรือ ขนุน เพื่อนบ้านของเด็กหญิง 14 ปี
คุณขนุน เล่าต่อว่า หลังจากพ่อเด็กเสียชีวิต ฐานะทางบ้านก็ดูย่ำแย่ลง แม่เป็นเสาหลักของบ้าน ต้องขับวินมอเตอร์ไซค์เพื่อหารายได้เพิ่ม และตนยังทราบมาว่า แม่เด็กไม่ได้กู้เงินจากเจ้านี้เพียงเจ้าเดียว และทุกครั้งที่ต้องออกไปขับวินฯ จะมีการฝากเงินดอกเอาไว้ที่ลูก ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ตนเห็นเด็กวิ่งเอาเงินไปให้คนเก็บดอกหน้าบ้าน เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเชื่อหรือไม่ ที่นายปลื้ม อ้างว่าคบกับเด็กผู้เสียหาย คุณขนุนบอกว่า ไม่เชื่อ เพราะเด็กเรียบร้อยมาก คุณขนุน กล่าวว่า การปล่อยเงินกู้นอกระบบในย่านนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนนอกพื้นที่เข้ามาปล่อยกู้ให้คนท้องถิ่น เจ้าหนี้บางคนมาไกลถึงต่างจังหวัด ส่วนคนเก็บดอกก็ไม่ใช่คนในพื้นที่ มักใส่หมวกกันน็อกมา มีบ้างที่ถอดให้เห็นหน้า แต่ก็ยังไม่เคยมีลูกหนี้คนไหนถูกกระทำรุนแรง ส่วนอัตราดอกเบี้ยก็มีตั้งแต่ร้อยละ 20 ไปจนถึงร้อยละ 100 ชาวบ้านบางรายไม่มีเงินจ่ายคืนให้ ก็ต้องหลบหรือย้ายบ้านหนี ซึ่งตนก็เคยเป็นหนึ่งคนที่กู้เงินนอกระบบ และได้รับความทุกข์ทรมานมากจากการเป็นหนี้ โดยส่วนตัวมองว่าหากรัฐบาลช่วยเหลือชาวบ้านด้วยการสร้างอาชีพ หรือมีกองทุนหมู่บ้าน ก็อาจช่วยแก้ปัญหานี้ให้กับชาวบ้านได้บ้าง

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ