หนุ่มโผล่แฉสาวเชิดสินสอด เล่นมุกใหม่ ท้องแล้วแท้ง สูบเงิน 4 แสนหนี (คลิป)

2 ก.ย. 60
จากกรณีในโลกออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวของหนุ่มหลายคนที่ถูก น.ส.พร (นามสมมติ) หลอกให้แต่งงาน พร้อมอธิบายว่าหญิงรายนี้ก่อเหตุมาหลายครั้ง โดยการแอบอ้างชวนทำธุรกิจค้าผลไม้ ก่อนนำไปสู่การจัดงานแต่ง แล้วถูกเชิดเงินหนี
ภาพงานแต่งงาน ของนายประสาร เทียมแย้ม กับ น.ส.พร
ขณะที่ นายประสาร เทียมแย้ม อายุ32ปี ซึ่งถูกน.ส.พร หลอกเช่นกัน โดยเผยว่า ตนเริ่มรู้จักหญิงรายนี้เมื่อวันที่ 5 ก.พ.2558 จากทางเฟซบุ๊กโดยต่างคนต่างกดไลค์กันไปมา จนคุยประมาณ 4-5เดือน ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น แล้วก็เริ่มปรึกษาเรื่องธุรกิจค้าผลไม้ จนชวนกันร่วมลงทุนธุรกิจ ซึ่งตนไปกู้เงินมา 2 แสนบาทให้ฝ่ายหญิง หลังจากนั้นไม่นานฝ่ายหญิงบอกตนว่าตั้งครรภ์ ส่วนตัวตอนนั้นด้วยความเห็นใจ ฝ่ายหญิงบอกตนให้เตรียมเงินเรื่องแต่งงาน โดยจะแต่งงานกันหลังฤดูขายผลไม้ ตลอดระยะเวลานั้น ก็มีการนัดเจอกัน ฝ่ายหญิงพาตนไปดูสวนผลไม้ แต่ไม่เคยพาไปที่บ้าน เพราะให้ข้ออ้างว่ายังไม่แต่งงาน ยังเข้าบ้านไม่ได้ จากนั้นฝ่ายหญิง เคยพยายามบอกตนให้ขายบ้านพักที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และย้ายไปอยู่กับฝ่ายหญิงที่จังหวัดหนองคาย โดยให้ พ่อแม่ตนย้ายไปอยู่ด้วย ตอนนั้นตนพยายามขอไปดูบ้านที่หนองคาย แต่ฝ่ายหญิงกลับบ่ายเบี่ยงไม่ให้ไป และบอกว่างั้นก็แต่งงานกันเลย ซึ่งงานแต่งจัดขึ้นช่วงวันที่ 1 พ.ย.2558 ตนเตรียมสินสอดไว้รวม 2 แสนบาท โดยไปแต่งงานที่รีสอร์ทในพื้นที่แถวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากนั้นแต่งงานอยู่กันได้ 4 วัน ฝ่ายหญิงขอกลับบ้าน โดยโทรไปไม่ค่อยรับ จากนั้นฝ่ายหญิงให้หลานสาวโทรมาหาแล้วบอกว่า น.ส.พร แท้ง เนื่องจากครรภ์เป็นพิษ และบอกตนไม่ต้องโทรมาอีก ส่วนตัวเชื่อว่าเวลาที่หายไปนั้น ฝ่ายหญิงน่าจะกำลังไปลงมือหลอกคนอื่นอีก ปัจจุบันเงินกู้ที่ตนกู้มา กว่า 4 แสนบาท ยังใช้คืนไม่หมด ตอนนี้ยังคงต้องส่งเงินอยู่ ตอนนั้นตนไม่ได้เข้าแจ้งความ และไม่ได้เก็บหลักฐานพวกห้องสนทนาไว้ เนื่องจากไม่คิดว่าตัวเองถูกหลอก
ทนายเกิดผล แก้วเกิด
ขณะที่ ทนายเกิดผล แก้วเกิด บอกว่า จากการติดตามข่าวดังกล่าว พฤติกรรมของหญิงสาวรายดังกล่าวเข้าข่ายหลอกหลวงอย่างแน่นอน เพราะว่าไม่ได้เกิดจากการให้ด้วยความเสน่หาแต่อย่างใด ซึ่งกรณีนี้ ทางกฎหมายตีความได้อย่างชัดเจนเลยว่า "หลอกลวง" ถือเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง หากถามว่าพ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานมีความผิดหรือไม่นั้น ทนายเกิดผล กล่าวว่า ต้องดูว่าฝ่ายผู้ใหญ่รู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ แต่หากมีการจัดงาน 4 ครั้งแบบนี้ แสดงว่ารู้เห็นเป็นใจ ซึ่งมีความผิดเช่นกัน เข้าข่ายร่วมกันฉ้อโกง ซึ่งจะได้รับโทษเท่ากันกับผู้ก่อเหตุ

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ