Nikkei Asian เปิดรายงานพิเศษ ถึงชีวิตที่หวือหวาของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

6 เม.ย. 67

หนังสือพิมพ์ Nikkei Asian ของญี่ปุ่น เผยแพร่รายงานพิเศษ เกี่ยวกับนาย ชูวิทย์ ชีวิตที่หวือหวา เต็มไปด้วยสีสัน ทั้งในฐานะคนเทา ๆ ในฐานะ นักแฉ นักการเมือง และหายไปจากหน้าสื่อเพราะปัญหาสุขภาพ

วันที่ 6 เมษายน 2567 หนังสือพิมพ์ Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เผยแพร่รายงานพิเศษ The fast life and slow exit of Thai showman Chuwit ซึ่งเป็นเรื่องราวของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ (Chuwit Kamolvisit)

เขาคือผู้ที่มีเส้นทางชีวิตหวือหวาเต็มไปด้วยสีสันมากที่สุดคนหนึ่งในสังคมไทย จาก “เจ้าพ่ออ่าง” ผู้บริหารธุรกิจอาบอบนวด กว้างขวางในแวดวง “คนกลางคืน” เคยเข้าสภาในฐานะนักการเมืองระดับชาติ และเป็นขวัญใจมหาชนจากการเป็น “นักแฉ” เปิดโปงเรื่องเทาๆ ที่รับรู้และกลายเป็นวิถีปกติชินชาในประเทศไทย ก่อนจะค่อย ๆ หายไปจากหน้าสื่อด้วยปัญหาสุขภาพ

จากคำบอกเล่าของคนใกล้ชิด นายชูวิทย์ ในวัย 62 ปี เดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อช่วงปลายปี 2566 เพื่อไปรักษาโรคมะเร็งตับที่โรงพยาบาลในประเทศอังกฤษ

ขณะที่เฟซบุ๊กของเจ้าตัวก็ไม่ได้โพสต์อะไรอีกเลย เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านั้นที่จะมีโพสต์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และภาพที่คุ้นชินก่อนหน้านั้น คือ นายชูวิทย์มักปรากฎตัวในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว มีไมโครโฟนหลายตัวติดบนเสื้อ และกระดานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเผนภูมิต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย ต่อหน้าสายตาผู้สื่อข่าวที่มาดู “โชว์การแฉ” ของชายผู้นี้ 

“ผมเป็นคนดี (แต่) ผมรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร ผมอยู่ในระบบแบบไทย ๆ และถ้าคุณอยู่ในระบบนี้นานพอ คุณจะรู้ว่าคอร์รัปชั่นคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา” คำกล่าวตอนหนึ่งที่นายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของ Nikkei Asian Review ที่โรงแรมเดวิส ก่อนที่เขาจะหายไป

นายชูวิทย์พลิกอดีตอันมีสีสันของเขา ให้กลายเป็นข้อได้เปรียบอย่างชาญฉลาด โดยยอมรับว่าเขาเป็น “คนเทา ๆ” ซึ่งเป็นคนที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของชีวิตสาธารณะ ทำให้เขาได้รับการยกย่องในบางด้านในฐานะ “ฮีโร่สายดาร์ค (Anti-Hero)”

เขาเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าชีวิตผ่านการติดคุกมาแล้วถึง 3 ครั้ง ทั้งการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกฎหมายเกี่ยวข้องกับข้อตกลงที่ดินที่น่าสงสัย ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน และที่ฉาวโฉ่ที่สุดคือข้อหาจ้างอันธพาลทำลายบาร์และธุรกิจอื่น ๆ ในใจกลางกรุงเทพฯ

นายชูวิทย์ผู้กว้างขวางในแวดวงธุรกิจกลางคืน เล่าว่า แรกเริ่มเดิมทีตนไม่ได้คิดจะใช้ชีวิตในเงามืด แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 (ปี 2523-2532) ตนมีความฝันอยากใช้ชีวิตตามรอย ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ (Hugh Hefner) ชาวอเมริกันผู้ให้กำเนิด “เพลย์บอย (Playboy)” นิตยสารสำหรับผู้ใหญ่ นั่นคือการมีผู้หญิงสวย ๆ รายล้อม และสร้างรายได้อย่างง่ายดาย และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ “วิคตอเรีย ซีเคร็ท” อาบอบนวดหรูที่เปิดให้บริการในปี 2532 ในช่วงที่ธุรกิจนี้ขึ้นถึงจุดสูงสุด มีผู้หญิงที่ทำงานในสังกัดของชูวิทย์มากถึง 2,000 คน และภาพที่หลายคนน่าจะเคยเห็น คือภาพที่ชูวิทย์อยู่ในอ้างอาบน้ำ รายล้อมด้วยพนักงานนวดสาวสวย

“นั่นคือโลกของผมมา 12 ปีแล้ว ผมทำเงินได้มหาศาล"

เป็นที่ทราบกันดีว่าธุรกิจอาบอบนวดนั้นไม่ผิดกฎหมาย แต่การขายบริการทางเพศนั้นผิดกฎหมาย แต่เหตุที่ธุรกิจยังคงดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีการ “จ่ายส่วย” ให้กับตำรวจในกรุงเทพฯ กระทั่งในปี 2546 ความสัมพันธ์ระหว่างชูวิทย์กับตำรวจมาถึงขั้นแตกหัก โครงสร้างที่ไม่มั่นคงนั้นจึงพังทลายลง และตั้งแต่นั้นมา ชูวิทย์เริ่มปรากฎตัวในบทบาทใหม่ นั่นคือการออกมาเปิดโปงการรับส่วย ดังที่ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกเล่ากับสื่อว่า เคยนำถาดที่เต็มไปด้วยนาฬิกาโรเล็กซ์ไปให้เจ้าหน้าที่และเสนอบริการฟรีที่ร้านนวดของเขา เพื่อแลกกับเสรีภาพในการประกอบธุรกิจอย่างผิดกฎหมาย

ในประเทศที่ไม่ค่อยมีการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ข้อกล่าวหาของเขาเป็นเพียงระเบิด ซึ่งดึงดูดความสนใจของสื่อและสาธารณชน และมอบพื้นที่ให้เขาได้พูดมายาวนานถึง 2 ทศวรรษ แต่อีกด้านหนึ่ง ชูวิทย์ก็กลายเป็นเป้าของกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิเด็กและสตรี อาทิ ปวีณา หงสกุล (Paveena Hongsakul) นักการเมืองและผู้นำองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่ขับเคลื่อนประเด็นความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ยอมรับว่า ไม่รู้ตั้งแต่แรกเรื่องชูวิทย์เป็นเจ้าของร้านนวดบางแห่งที่เฝ้าติดตามเรื่องการจ้างเด็กผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

ชูวิทย์ยังกลายเป็นพิธีกรรายการข่าวทางโทรทัศน์ โดยใช้ความรู้วงในเกี่ยวกับ “โลกด้านมืดของกรุงเทพฯ” เพื่อรักษาโปรไฟล์สาธารณะของเขา ซึ่งก็ยอมรับว่ามีความเสี่ยงเพราะผู้คนจำนวนมากไม่พอใจกับการเปิดเผยของเขาเกี่ยวกับจุดอ่อนของกรุงเทพ ตั้งแต่บ่อนพนันผิดกฎหมายที่เปิดดำเนินการแบบปิดในอาคารสำนักงาน ไปจนถึงอาบอบนวดที่ให้บริการผู้ชายทั้งชาวไทยและต่างชาติ ถึงกระนั้น เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนไม่จำเป็นต้องจ้างคนคุ้มกัน และชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นั้นจะทำให้ทั้งสื่อไทยและคนไทยปกป้องตน

ความสำเร็จของชูวิทย์ส่วนหนึ่งอยู่ที่ลีลาการพูดของเขา เช่น การบรรยายลูกค้าผู้ชายที่มาใช้บริการอาบอบนวดในฐานะผู้นำชีวิตที่มีความเครียด โดยมีพนักงานนวดหญิงเป็นผู้ผ่อนคลาย ในอีกโอกาสหนึ่ง ก่อนการเลือกตั้งในประเทศไทย เขาบอกกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าการเมืองก็เหมือนกับผ้าอ้อมและต้องการการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเพื่อสิ่งที่ดีกว่า การกลับใจในลักษณะนี้ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อปลายปีที่แล้ว เพจเฟซบุ๊กของชูวิทย์มีผู้ติดตาม 1.9 ล้านคน ซึ่งตกแต่งด้วยภาพของเขามีหนวดบางเฉียบคล้ายดินสอซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา 

ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ (Tanwarin Sukkhapisit) อดีตประธานคณะกรรมการกำกับภาพยนตร์ไทย กล่าวว่า ชูวิทย์สร้างตัวตนในที่สาธารณะที่แตกต่างจากที่คนไทยคุ้นเคยนั่นคือโลกแบบขาว-ดำชัดเจน ที่เดิมทีตัวร้ายคือตัวร้ายส่วนพระเอกคือคนดี แต่สำหรับชูวิทย์นั้นผสมปนเปกัน ใช้พื้นที่สาธารณะเป็นเวทีของเขา และแสดงให้เห็นว่า คนเลวก็สามารถทำสิ่งดีๆ ให้กับสังคมได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่ฮีโร่ทั่วๆ ไป แต่เป็นคนเทาๆ

คริส เบเกอร์ (Chris Baker) นักเขียนในกรุงเทพฯ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการเมือง ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมไทย กล่าวว่า ความสามารถของชูวิทย์ในการสร้างความบันเทิงด้วยการสัมผัสเรื่องต้องห้ามอย่างเปิดเผย ยังทำให้เขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับบุคคลหลากสีสันจากนิทานพื้นบ้านของไทยอย่าง “ศรีธนญชัย” ตัวตลกผู้หลงใหลในมุกตลกแบบร้าย ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีทางวัฒนธรรมที่มีมายาวนานหลายศตวรรษ

รายงานของสื่อญี่ปุ่นยังกล่าวด้วยว่า มีครั้งหนึ่ง ชูวิทย์เคยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า ตอนที่ตนอยู่ในรัฐสภา ถูกถามว่าทำไมผู้คนถึงบอกว่าตนควรถูกเรียกว่าแมงดา ไม่ใช่ สส. ซึ่งตนก็ตอบว่าอย่าเรียกตนว่าแมงดา แต่ให้เรียกว่าแมงดาซุปเปอร์ เพราะหน้าที่ของตนคือทำความสะอาดรัฐสภา เหมือนที่ตนเคยทำความสะอาดร่างกายในร้านนวด ซึ่งความกล้าหาญดังกล่าวขัดต่อธรรมชาติของคนไทย

“คนไทยไม่ตรงไปตรงมา ไม่พูดความจริง และถึงกับช็อคเมื่อผมพูดมันออกมา แต่พวกเขาก็อยากให้ผมพูดต่อ เพราะอยากให้มีคนพูดในที่สาธารณะเกี่ยวกับการทุจริตหรือกระทำความผิดจนไม่กล้าพูดอย่างเปิดเผย” ชูวิทย์ กล่าว

ความหลงใหลในการเล่าเรื่องของชูวิทย์ที่ทำให้ผู้ชมคาดเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ปรากฏให้เห็นทันทีก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ในขณะที่เขาบอกกับสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของไทยว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมายังประเทศนี้ โดยเขาทิ้งท้ายว่า “วงจรชีวิตก็เป็นเช่นนั้น หลังจากที่เราเกิด เราก็ป่วยและตาย” ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นข้อความสุดท้ายของชูวิทย์ถึงประเทศไทยหรือไม่ เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้

ขอบคุณเรื่องจาก nikkei asia

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส