เจ้าของป้ายไวนิลเปิดใจทั้งน้ำตา ถูกดาราตลกเบี้ยวหนี้ทวงจนอาย

31 มี.ค. 67

เจ้าของป้ายไวนิลเปิดใจทั้งน้ำตา ถูกดาราตลกเบี้ยวหนี้ทวงจนอาย ไม่มีทุนไปต่อ 4 ชีวิตกำลังลำบาก

 

จากกรณีเพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้รีเทิรน์ part6 โพสต์ภาพระบุข้อความว่า “ดรามาป้ายทวงหนี้จากคุณป้าคนหนึ่ง (ใครรู้จักป้าหรือคุณป้าเห็นโพสต์มาแสดงตัวได้นะ..สื่อจะสอบถามประเด็น) ป้าคนนึงมาทวงหนี้โดยการนำป้ายมาแขวนไว้ที่บูธจัดงานในห้างเซ็นทรัลเวสเกต เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบและให้ถอดป้ายออก รปภ.บอกว่าป้าเขาเดินไปยืนถือป้ายที่หน้าห้างอีกเพิ่งกลับไปเมื่อกี้ค่ะเหตุวันนี้30-3-67ประมาณ3ทุ่มสดๆร้อนๆเลยค่ะ”

ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 31 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บริเวณป้ายรถเมล์ หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต ตำบลเสาธงหิน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พบนางรชต คำรอด อายุ 50 ปี ผู้เสียหายติดป้ายทวงหนี้ระบุข้อความว่า “ติดป้ายไวนิลรูปดาราตลกท่านหนึ่ง ระบุข้อความว่า" ได้โปรดเมตตาคืนเงินค่าสินค้าให้เราด้วยเถอะเงิน 284,400 บาท สำหรับบางคนอาจจะไม่เยอะแต่สำหรับครอบครัวของเรามันคือลมหายใจ 4 ชีวิต"

นางรชต (ผู้เสียหาย) กล่าวว่า ที่บ้านตนทำธุรกิจเลี้ยงปู เป็นธุรกิจครอบครัวไม่ใช่ห้างร้าน และบริษัททำและขายเอง ตามงานอีเว้นท์ตามห้างต่างๆ และมีโอกาสได้เจอกับคู่กรณี ซึ่งขายของในงานเดียวกัน ได้มีการว่าจ้างให้ตนทำปูดองส่งให้ขาย โดยทางคู่กรณีจะไปติดแบรนด์ตัวเอง ตกลงกันไว้ว่ารับของไปขาย 1 รอบ เมื่อขายเสร็จต้องนำเงินมาจ่ายตน ทำของส่งให้คู่กรณีกว่า 20 รอบ ส่งไปเรื่อยๆ ซึ่งตนได้มีการทวงถามค่าจ้างกับคู่กรณีตลอด เขาอ้างว่ายังขายของไม่ได้ ไม่มีเงินนำมาให้ ขอให้ทำของให้ใหม่ก่อน และจะนำเงินมาเคลียร์ให้ ซึ่งเป็นแบบนี้มาตลอด ตนให้ด้วยความเห็นใจและไว้ใจ และคิดว่าถ้าไม่ให้ของไปส่งให้คู่กรณี ก็จะไม่มีของขายและนำเงินมาให้ตน ตนจึงยอมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 66

จนมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 67 ตนเริ่มชะงักและไม่ทำของให้คู่กรณี ซึ่งคู่กรณีก็บอกว่าถ้าไม่มีของมาขาย จะนำเงินที่ไหนมาให้ ตนจึงทำให้ถึงรอบสุดท้าย และตนจึงขอกำหนดในการชำระยอด คู่กรณีได้นัดชำระเงินวันที่ 24 มีนาคม หากเคลียร์ยอดที่ค้าง ตนจะทำของให้วันที่ 27 มีนาคม เพื่อนำมาขายที่ห้างแห่งนี้ แต่พอถึงกำหนดคู่กรณีไม่จ่ายเงินตามที่ตกลง ตนจึงมีการทวงถามคู่กรณีบอกกับตนว่าขอให้จบงานที่ห้างนี้ก่อน เนื่องจากมีการคลาดเคลื่อนได้ของไม่ครบ ตนจึงไม่ทำของให้อีก

พอวันที่ 29 มีนาคมตนมายืนดูการค้าขายของคู่กรณีที่ห้าง เพื่ออยากรู้ว่าขายไม่ได้จริงๆใช่ไหม และไม่มีรายได้จริงๆใช่ไหม แต่4ชั่วโมงที่ตนมายืนดูคู่กรณีขายของได้ประมาณหมื่นกว่าบาท ตนจึงบอกว่าให้นำเงินมาเคลียร์ตนซัก 2,000-3,000 บาทก่อน เพื่อจะได้นำไปเป็นทุนทำของและนำของมาให้เพื่อวางขายในงานนี้ คู่กรณีบอกให้ตนทำของมาก่อน แต่ยังไม่มีเงินให้ เขาบอกว่าไม่ให้ ตนพยายามตื๊อเพื่อขอเงิน แต่คู่กรณีปฏิเสธและไล่ให้ตนกลับไป พอตอนกลับมาคู่กรณีส่งข้อความมาต่อว่าตน ว่าทำให้คู่กรณีเสียหน้า ตนจึงรู้ว่าเขาพยายามที่บ่ายเบี่ยงจะไม่จ่ายเงินตนแล้ว

ตนจึงไปเจรจากับทางผู้ใหญ่ที่จัดงานว่าให้คู่กรณีมาเคลียร์ยอด ซึ่งทางผู้ใหญ่ที่ตนได้ไปพูดคุยด้วย เขาบอกให้ตนไปแจ้งความ ตำรวจก็บอกว่าเป็นคดีแพ่ง ตนจึงต้องทำป้ายนี้ออกมาไม่อยากทำ แต่สถานการณ์บีบบังคับให้ตนต้องทำ ตนนำป้ายไปติดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ยอดเงินทั้งหมดที่คู่กรณีต้องจ่ายคือ 284,400บาท ไม่มีให้ตนทั้งหมด ตนเข้าใจ แต่อยากให้คู่กรณีติดต่อมาเคลียร์จะเจรจายังไงก็พูดมา แต่กลับมาโพสต์เฟซบุ๊กว่าจะไปแจ้งความตน ซึ่งมันสวนทางกับความจริงที่ควรจะมาเจรจากันดีกว่า

นางรชต(ผู้เสียหาย) กล่าวทั้งน้ำตาต่ออีกว่า ตนไว้เนื้อเชื่อใจเพราะเห็นเป็นดาราเป็นตลก คงไม่มาโกงกับตาสีตาสา แค่เงินไม่กี่บาท ตนคาดหวังอยากให้คู่กรณีมาเจรจากัน แต่กลับไม่เคยมาพูดคุยพูด แต่ว่าไม่มีไม่ให้อยากบอกกับคู่กรณีว่ายอดทั้งหมดที่เขาขายของที่มีกินมีใช้ทุกวันนี้ แต่ตนกับครอบครัว 4 ชีวิตเราไปต่อไม่ได้ เราขอให้มาเคลียร์ยอดบ้าง หันกลับมาดูเราบ้าง เราสร้างเม็ดเงินสร้างกำไรให้ไปกว่าครึ่งล้านแล้ว อย่านิ่งจนด้านแบบนี้ออกมาพูดคุยกัน.

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส