โผล่อีก! โดน ครอบครองปรปักษ์ ที่ดินแปลงใหญ่ย่านปากเกร็ด

8 มี.ค. 67

 

โผล่อีก! เจ้าของตัวจริงร้อง ทนายเดชาช่วยเหลือโดน ครอบครองปรปักษ์ ที่ดินแปลงใหญ่ กว่า 600 ตารางวา ย่านปากเกร็ด 

วันที่ 7 มี.ค. 67 ที่สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ ถนนรามอินทรา นางรัตนา และนางศุภรดา สองพี่น้องเข้าร้องเรียนกับนาย เดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา โดยอ้างว่าถูกชาวบ้านเข้ายึดที่ดินแปลงใหญ่ เนื้อที่กว่า 600 ตารางวา และปลูกสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ ย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยกระทำในลักษณะ ครอบครองปรปักษ์ มีการเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด เอาไว้แล้ว แต่คดีไม่มีความคืบหน้า 

ทนายเดชา กล่าวว่า พ่อแม่ผู้เสียหายซื้อที่ดินไว้เมื่อปี 2503 เป็นที่ดินตาบอดใกล้ห้าแยกปากเกร็ด ตั้งอยู่ติดกับการเคหะปากเกร็ด และโครงการที่อยู่อาศัย ก่อนจะถูกบุกรุกเข้าไปตั้งเพิงหมาแหงน 8-10 หลัง โดยผู้อยู่อาศัยทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องกัน และอ้างว่าได้ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2530 หากจะแสดงเจตนาเป็นเจ้าของจริงต้องไปยื่นศาลตั้งแต่ 10 ปีแรก จึงมองว่ามีพฤติกรรมไม่สุจริต ทั้งยังตั้งเพียงเพิงไม้ ไม่ใช่ลักษณะสิ่งปลูกสร้างถาวร ซึ่งผู้เสียหายแจ้งความไว้ที่ สภ.ปากเกร็ด ตั้งแต่ปี 2549 จนปัจจุบันเกือบ 18 ปี ยังไม่มีความคืบหน้า 

นางรัตนา กล่าวว่า พ่อแม่ซื้อที่ดินดังกล่าวไว้ 2 แปลง ตั้งแต่ปี 2503 แต่ไม่ได้เข้าใช้ทำประโยชน์ เนื่องจากเป็นที่ดินตาบอด ก่อนจะส่งต่อให้ตนกับน้องสาวในเดือน พ.ค.2546 แบ่งกันคนละแปลง ขนาด 326 ตารางวา และ 327 ตารางวา ขณะนั้นยังไม่มีใครเข้าใช้ประโยชน์และอยู่อาศัย จึงได้ขอรังวัดที่ดิน ต่อมาในเดือน ก.ย.2546 พบว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในที่ดิน จึงไปแจ้งความที่ สภ.ปากเกร็ด โดยตำรวจบอกว่าผู้บุกรุกได้ออกจากพื้นที่แล้ว แต่ก็ยังมีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาอยู่แทนตลอด 

นางรัตนา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังแจ้งความไว้อีกในปี 2559 , 2565 และ 2566 ชื่อของผู้ที่ถูกแจ้งความเปลี่ยนอยู่ตลอด และตนไม่เคยพบผู้บุกรุก ไม่เคยมาพูดคุยกัน ขณะที่ตำรวจเพียงแค่ทำหน้าที่คอยสืบหาข้อมูลให้ ก่อนจะส่งอัยการไปเรียบร้อยแล้ว 

อย่างไรก็ตามเมื่อราว 5 ปีก่อน พยายามไปเจรจากับผู้บุกรุก เพื่อขอให้เซ็นสัญญาเช่า แต่ผู้บุกรุกกลับไม่ยอม อ้างว่าคนอื่นที่เข้ามาอาศัยก็ไม่ได้เสียเงิน ถ้าอยากได้ก็ไปฟ้องเอา 

นางรัตนา กล่าวอีกว่า ตลอดเวลาตนเสียภาษี ที่ดิน ทุกปี และรังวัดพร้อมสอบเขต ที่ดิน เช่นกัน เมื่อเดือน ก.พ.2567 เข้าไปประเมินราคา ที่ดิน ทั้ง 2 แปลง อยู่ที่แปลงละ 3.4 ล้านบาท ดังนั้น แม้ว่าตัวเองจะไม่เข้าไปใช้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ละทิ้ง ที่ดิน 

“ส่วนตัวไม่เครียด คิดว่าหากอะไรเป็นของเราก็เป็นของเรา คู่กรณีรู้อยู่ว่าไม่ใช่ของเขา น่าจะมีสำนึกบ้าง” นางรัตนา กล่าว 

ด้าน ทนายความฝั่งคู่กรณี เปิดเผยว่า ลูกความไม่มีฐานะ จึงอาสาเข้ามาช่วยคดีนี้ ที่ดินข้อพิพาทมีการติดตั้งน้ำและไฟฟ้า และมีผู้อยู่อาศัยหลายราย ปลูกบ้านขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ ได้รับรูปถ่ายมาแล้ว และย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน เจ้าของที่ดินได้ติดต่อผู้ที่อยู่อาศัย เพื่อทำสัญญาให้เช่าหรือสัญญาเกี่ยวกับการให้อยู่อาศัย แต่ผู้อาศัยนั้นไม่ยินยอม และอ้างว่าอยู่มาแล้ว 30 ปี ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปพิสูจน์ในภายหลัง 

“การ ครอบครองปรปักษ์นั้น ผู้ร้องจะต้องแสดงเจตนาเป็นเจ้าของเข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผยเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้ยังคงยืนยันจะฟ้องร้อง ครอบครองปรปักษ์ ต่อไป โดยยึดตามเจตนาของหลักกฎหมายที่ผู้แสดงสิทธิ์เข้ามาครอบครอง” ทนายความคู่กรณี กล่าว

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส