เต้ มงคลกิตติ์ ยื่น ผบ.ตร. พิจารณาพรรคก้าวไกล เข้าข่าย กบฏ หรือไม่

1 ก.พ. 67

เต้ มงคลกิตติ์ ยื่น ผบ.ตร. พิจารณา หลังศาลตัดสินพรรคก้าวไกล ล้มล้างการปกครอง เข้าข่าย กบฏ ตามมาตรา 113 หรือไม่

วันนี้ เวลา 13.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปทุมวัน กทม. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เต้พระราม 7 หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เดินทางไปยื่นหนังสือที่บริเวณด้านหน้าอาคารกองรักษาการณ์ เพื่อให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ. ตร.นำคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาว่าการกระทำของผู้ถูกร้อง คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พร้อมพวก เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นการกระทำเข้าข่ายฐานความผิด ข้อหา เป็นกบฏตาม.ป.อาญา ม.113(1) หรือไม่  

โดยมี พ.ต.ท กฤษฎา แก่นสำโรง รอง ผกก.กองบังคับการวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พ.ต.ท.ปัญจวุฒิ ดาวล้อมจันทร์ รอง ผกก.กองบังคับการวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมารับมอบหนังสือแทน ผบ.ตร.

จากนั้น นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เต้พระราม 7 หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่าในหลักของกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ในหมวดที่ 2 เกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักรไทย จะใช้สำหรับกรณีเกิดการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ ซึ่งจะมีความผิดตามข้อหา "กบฏ" ตามมาตรา 113 (1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ

โดยปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญได้มีการวินิจฉัยเด็ดขาดแล้วว่าการกระทำของ นายพิธา และพรรคก้าวไกล รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลมีคำว่า "ล้มล้าง" ซึ่งเทียบได้ว่า เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 (1) ส่วนจะเข้าข้อกฎหมายนี้มากน้อยเพียงใด วันนี้ตนเองจึงได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ ผบ.ตร.วิเคราะห์ว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการล้มล้างระบอบราชาธิปไตยหรือไม่ ซึ่งอัตราโทษนั้นจะสูงมาก ในข้อหา กบฏ  และ "โทษสูงสุดก็คือประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต"

ซึ่งคำว่า ล้มล้าง ไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง หรือ อาวุธ แต่เป็นการปลูกฝังเข้าไปในสมองความคิดและเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบความคิดของคนในชาติ ซึ่งตนมองว่าเป็นความรุนแรงยิ่งกว่าการใช้อาวุธ วันนี้ตนจึงต้องการส่งข้อมูลเหล่านี้ให้ทาง ผบ.ตร.เพื่อพิจารณาว่าเหตุต่างๆเหล่านี้ ควรจะมีการป้องปรามก่อนเหตุจะเกิดขึ้น และบานปลายไปมากกว่านี้หรือไม่

นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่ออีกว่าอยากจะฝากข้อความไปถึง คุณพิธาและพรรคก้าวไกล ว่าให้ยอมรับคำตัดสินของศาล และอย่าทำอีกเลย ให้เรื่องจบแค่นี้ ซึ่งความผิดก็จะมีแค่ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค อยากให้พรรคก้าวไกลทั้งพรรคหยุด และอย่าสู้ต่อ ซึ่งคล้ายๆกับการวางอาวุธทางความคิด ที่ไม่ใช่อาวุธปืน เพราะถ้าหยุดแค่นี้ความผิดก็จะอยู่แค่นี้ แต่ถ้าหากฝืนสู้ต่อไป ก็จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายและคนสองฝ่ายจะออกมาฆ่ากัน

ส่วนกรณีของพรรคเพื่อไทยที่ก่อนหน้านี้มีการเอามาพูดถึงการแก้ ม.112 แต่ทางพรรคไม่เคยพูดในรายละเอียด และไม่เคยเสนอ เป็นร่างพระราชบัญญัติแก้ไข ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดชัดๆเหมือนกับพรรคก้าวไกล แต่พรรคเพื่อไทยก็สามารถถูกยื่นยุบพรรคได้ แต่ก็จะสามารถมีข้อโต้แย้ง มากกว่าพรรคก้าวไกล อีกทั้งยังต้องดูที่เจตนาว่ามีเจตนาที่จะธำรงไว้ หรือ มีเจตนาที่จะทำลายล้าง

หลังจากยื่นหนังสือเสร็จ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ได้ให้รายละเอียดกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องนี้ตนเองเคยเตือนทางพรรคก้าวไกล คุณพิธาและคุณธนาธร มาโดยตลอด ซึ่งมีการเตือนทั้งส่วนตัว และทั้งสาธารณะ โดยพรรคก้าวไกลมีท่าที ที่เหมือนจะไม่ยอมรับ คำตัดสินของศาล ซึ่งพยายามที่จะฝืนและดึงดันที่จะทำต่อไป ส่วนเรื่องยุบพรรค ตนเองมั่นใจว่ายังไงก็ยุบแน่นอน รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องก็ต้องโดนด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูพฤติกรรมของคนที่เกี่ยวข้องด้วยว่าจะนำมวลชนออกมาบนท้องถนนเหมือนปี 62 หรือไม่ แต่ถ้าทำแบบนี้จะส่งผลให้บ้านเมืองนั้นเสียหาย ซึ่งประเทศไทยมีการปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์มานานแล้ว และประชาชนส่วนใหญ่รักสถาบันพระมหากษัตริย์

ซึ่งตนมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ซึ่งถ้าไม่ทำ ณ วันนี้ จะกลายเป็นสงครามกลางเมืองในอนาคต ส่วนจะมีม็อบอีกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่แกนนำ แต่หากพรรคก้าวไกลยังคงดึงดันที่จะไปต่อ และไม่ฟังคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะมีโทษทางอาญาที่หนักขึ้น ซึ่งก็คือ กบฏ นั่นเอง

หลังจากนี้หากมีการยุบพรรคก้าวไกลแล้ว ก็อาจจะมีคนที่มีอุดมการณ์เหมือนๆกัน มาทำพรรคการเมืองรุ่นใหม่ขึ้นมา แต่ต้องเป็นพรรคการเมืองในรูปแบบปกติ แต่หากจะเป็นนักปฏิวัติการปกครอง ซึ่งก็ต้องแลกมากับหลายอย่าง และสุดท้ายบ้านเมืองจะเสียหายและไม่เป็นผลดีกับใคร.

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม