เจ้าหนี้ท้าชนไม่ได้ปล่อยเงินกู้ แต่คู่กรณีชวนลงทุนแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน

7 ม.ค. 67

เจ้าหนี้ท้าชน ยันเป็นแค่คนตัดอ้อยไม่ใช่เจ้าพ่อเงินกู้นอกระบบ โชว์หลักฐานโต้กลับถูกคู่กรณีเสนอร่วมลงทุนให้ผลกำไรสูง แต่เบี้ยวไม่ยอมจ่ายคืน

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าจากกรณีที่เมื่อวานนี้ (6 ม.ค.67) มีนักธุรกิจสาวชาวจังหวัดอุทัยธานีรายหนึ่ง ได้ร้องเพจสายไหมต้องรอด หลังจากที่เธอนั้นเป็นหนี้นอกระบบจากชายคนหนึ่ง ชื่อว่านายปิยะ รวมเป็นยอดเงินต้นจำนวน 200,000 บาท โดยต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 3,500 บาท รวมระยะเวลาประมาณ 3 เดือน จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งนี้ไปแล้ว 940,000 บาท โดยอ้างว่าถูกทางนายปิยะนั้นข่มขู่เอาชีวิตคนในครอบครัว หลังเจ้าตัวขาดส่งเงินค่าดอกเบี้ยรายวันมา 3 วัน

โดยเมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (7 ม.ค.) พ.ต.อ.ภคิน วรรณศรี ผู้กำกับการ สภ.หนองฉาง เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวผ่านทางสายไหมต้องรอด ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้สั่งการให้ชุดสืบสวนป้องกันปราบปรามลงพื้นที่ติดตามตัวฝั่งคู่กรณี ซึ่งก็คือนายยะ ซึ่งปรากฏว่าได้พบตัวจริง ของนายยะพร้อมกับภรรยา ซึ่งหลังจากที่พบตัวทั้ง 2 ก็ได้มีการสอบถามความเป็นจริง

โดยทางฝั่งนายยะและภรรยา จึงได้ขอใช้สถานที่ของ สภ.หนองฉาง เป็นพื้นที่ในการแถลงขี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ในฝั่งของตัวเองบ้าง

และล่าสุดเมื่อช่วงเวลา 14.00 น.ทางนายปิยะ ทองจันทร์ อายุ 37 ปี พร้อมด้วยภรรยาและผู้เสียหายอีกหลายรายได้เดินทางนำเอกสารหลักฐานมา ที่สภ.หนองฉาง ขอใช้พื้นที่สื่อแถลงข่าวตอบโต้

โดยเอกสารการทำสัญญากู้ยืมในการลงทุนทำธุรกิจ พร้อมโต้กลับว่าที่นางสาวอุไรวรรณ ไปร้องผ่านทางเพจสายไหมต้องรอดนั้นไม่เป็นความจริง และนี่ไม่ใช่เป็นการกู้ยืมเงินนอกระบบ แต่เป็นการให้เงินก้อนดังกล่าวนั้นไปร่วมลงทุนธุรกิจ ที่นางสาวอุไรวรรณนั้นได้เสนอชักชวนมา อ้างว่าให้ผลตอบแทนดี ตนเองนั้นไม่ได้มีการปล่อยเงินกู้นอกระบบให้กับทางนางอุไรวรรณอย่างที่เป็นข่าวออกไป แต่เป็นการให้เงินในการร่วมลงทุนทำธุรกิจ

ซึ่งตนเองนั้นไม่ได้รู้จักกับนางสาวอุไรวรรณเป็นการส่วนตัว เป็นการรู้จักกันผ่านทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งเริ่มแรกนั้นทางนางสาวอุไรวรรณนั้นได้เสนอให้ตนเองนั้นนำเงินมาร่วมลงทุนในธุรกิจ อ้างว่าให้ผลกำไรเป็นดอกเบี้ยในจำนวนที่สูงพอสมควร

โดยตนเองนั้นก็เห็นว่าทางนางสาวอุไรวรรณให้เงินค่าตอบแทนดี จึงได้หาเงินจากทางญาติพี่น้องและป้าๆ นำไปร่วมลงทุนกับนางสาวอุไรวรรณเพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมานั้นทางนางสาวอุไรวรรณก็ได้ส่งเงินคืนมาให้ดี ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งเป็นทั้งเงินต้นที่ยืมไป และผลกำไรตอบแทน แต่ทางเราก็ได้มีการทำสัญญากันเอาไว้เพื่อให้เกิดความสบายใจทั้ง 2 ฝ่าย จนระยะหลังประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางนางสาวอุไรวรรณนั้นขาดการส่งเงินต้นและผลกำไรให้กับตนเองอย่างที่เคยส่งคืนมาให้ จึงทำให้ทางตนเองกังวลใจเป็นอย่างมาก โดยพยายามติดต่อไปทวงเงินดังกล่าวคืน แต่ทางนางสาวอุไรวรรณนั้นก็บ่ายเบี่ยงบ้าง ไม่รับสายบ้าง ติดต่อไม่ได้บ้าง พอเมื่อวานนี้นางสาวอุไรวรรณนั้นได้ไปร้องผ่านเพจสายไหมต้องรอด ซึ่งตอนนั้นตนเองก็ไม่ทราบ

โดยนางสาวอุไรวรรณนั้นได้พูดขึ้นมาว่าไม่มีความสามารถที่จะใช้เงินก้อนดังกล่าว พอได้ยินแบบนี้จึงทำให้ตอนนั้นตนเองเกิดโมโหบันดาลโทสะใช้ถ้อยคำที่หยาบคายไป ซึ่งไม่ได้ตั้งใจ เพราะเป็นยอดเงินที่ไม่ใช่แค่เงินของตนเองคนเดียว แต่เป็นเงินของพี่ป้าน้าอาที่ตนเองได้ไปหยิบยืมต่อมาอีกทอดหนึ่ง ด้วยตนเองนั้นก็หาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีเงินมากมายอย่างที่ทุกคนคิด ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการปล่อยเงินกู้นอกระบบ และตนเองก็ไม่ได้มีอาชีพปล่อยเงินกู้แต่อย่างใด แต่เป็นการลงทุนธุรกิจร่วมกับนางสาวอุไรวรรณตามที่ได้มีการทำสัญญากันเอาไว้เท่านั้น

จึงอยากอยากจะขอความเป็นธรรมให้กับทางตนเองด้วย ว่าเหตุการณ์นั้นไม่ได้เป็นไปตามอย่างที่ทางนางสาวอุไรวรรณได้ร้องไปกับทางเพจสายไหมต้องรอด อยากจะให้นางสาวอุไรวรรณนั้นรับผิดชอบกับยอดเงินที่ได้นำของตนเองและญาติๆพี่น้องไปมาคืนอีกด้วย

ตนเองขอท้าชนกับเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะตนเองไม่ได้ทำผิดแต่อย่างใด แต่ถ้าผลสรุปออกมาว่าตนเองผิดก็จะยอมติดคุก แต่ขอให้ได้ออกมาพูดความจริงบ้าง เพราะเหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่เพียงแต่ทำให้ตนเองเสียหายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังทำให้จังหวัดอุทัยธานีนั้นเสียหายไปด้วย

โดยวันพรุ่งนี้ (8 ม.ค.) ตนเองพร้อมด้วยภรรยาและญาติๆที่เสียหายและเป็นผู้ร่วมลงทุนทุกคนจะเดินทางไปพบนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยที่กระทรวง เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลหรือเป็นเจ้าพ่อเงินกู้และขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรมให้กับตนเองและทุกคนที่เสียหายที่เป็นผู้ร่วมลงทุนด้วย

advertisement

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส