ลีลาครั้งแรก! “ชัยธวัช” สวมบท ผู้นำฝ่ายค้าน อัดรัฐบาล อภิปรายงบปี 67

3 ม.ค. 67

ลีลาครั้งแรก! “ชัยธวัช” สวมบท ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายงบปี 67 อัดรัฐบาล  เบี้ยหัวแตก  สะเปะสะปะ ทำงานไร้เป้าหมาย เหล้าเก่า ขวดใหม่ 

วันที่ 3 ม.ค. 67 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 นาย ชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายตอนหนึ่งว่า เป็นงบประมาณที่กว้างขวาง ดูเนื้อในแล้วเลื่อนลอย จับต้องไม่ได้ สะเปะสะปะ ไม่มียุทธศาสตร์ไม่มีลำดับความสำคัญ ถ้านายกรัฐมนตรีระบุว่าขณะนี้สถานการณ์ประเทศมีวิกฤต ซึ่งรัฐบาลมีการบริหารตามกรอบนโยบาย ได้แก่ ระยะสั้นในระยะเร่งด่วนคือการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าประชาชน ส่วนกรอบระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลจะเสริมขีดความสามารถให้แก่ประชาชนผ่านการสร้างรายได้ลดรายจ่าย 

และแผนงานของกระทรวงที่ไม่มีตัวชี้วัดที่แท้จริง ไม่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับนโยบาย หากไปดูแผนงานเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นโครงการเดิมๆ ที่กระทรวงทำอยู่แล้วทุกปี เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ 

รัฐบาลมีเวลา 3 เดือนในการจัดสรรงบประมาณใหม่ แต่สุดท้ายพบว่าแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ อย่างน้อยควรยึดโยงกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลให้เห็นมันชัดเจน ทำเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินภาคเกษตรและภาคประชาชน และการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวหัวข้อสวยหรู แต่เนื้อในตอบไม่ได้ว่าจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร 

นอกจากนี้ระบุนโยบายเร่งด่วนที่อยากให้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งควรจะมีการทำประชามติ 2 ครั้ง แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นมีการตั้งงบประมาณเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ส่วนนโยบายเงินดิจิทัล วอลเลต ก่อนหน้านี้นายกฯ ยืนยันว่าไม่กู้และจะมีการบริหารนโยบาย ซึ่งขณะนี้ยืนยันแล้วว่าไม่มีการตั้งอยู่ในงบประมาณ ปี 2567 

นายชัยธวัช ระบุด้วยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณแบบเบี้ยหัวแตก สะเปะสะปะ ทำงานแบบไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีโครงการใหม่เพียงแค่ 200 โครงการเท่านั้น และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลชุดใหม่ 

และการจัดทำงบประมาณในครั้งนี้คาดการณ์รายได้เกินจริงไปเยอะ ประมาณ 100,000 ล้านบาท ก็เพื่อจะได้ทำแผนรายจ่ายให้สูง แต่ขณะเดียวกันในฝั่งรายจ่ายกับตั้งงบรายจ่ายที่ควรจะทราบว่าต้องจ่ายแน่ๆ คาดการณ์ไว้ไม่พอ เช่นบำเหน็จบำนาญ เงินเดือนราชการ สุดท้ายทำให้ต้องไปตั้งรายจ่ายชดเชยเงินคงคลังทีหลัง 

นอกจากนี้ยังไม่เห็นงบประมาณในส่วนซอฟพาวเวอร์ ที่ตั้งไว้กว่า 5,000 ล้านบาทในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงมองว่าไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลชุดที่แล้วที่ทำแบบนี้ ดังนั้นจึงมองไม่เห็นวาระเป้าหมายของรัฐบาลผ่านการทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฉบับนี้ 

นอกจากนี้มองว่าการบรรลุสู่เป้าหมายบางนโยบายไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณเสมอไป อย่างเช่นการสร้างความชอบธรรมในการฟื้นฟูหลักนิติธรรม ซึ่ง วันนี้ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลกำลังสร้างหลักนิติธรรมจริงๆ หรือกำลังทำให้หลักนิติรัฐนิติธรรมย่ำแย่ลงไปอีก เพราะสังคมกำลังถูกตอกย้ำให้อยู่กับกระบวนการยุติธรรมแบบ 2 มาตรฐาน ถูกตอกย้ำว่าเราต้องยอมรับระบบกฎหมายหรือเรือนจำที่มีไว้สำหรับประชาชนสามัญ ที่ไม่ได้มีอำนาจบารมีและฐานะเงินทองเท่านั้น 

นายชัยธวัช ทิ้งท้ายด้วยว่า ปัญหาของ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณยังสะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น จริงๆ แล้วรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ ที่ไม่ได้มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศ แต่เป็นเพียงการขับเคลื่อนที่แบ่งปันอำนาจกันแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เพราะเป็นแบบนี้จึงเห็นการตั้ง ครม.แบบปิดฝาผิดตัวเต็มไปหมด ไม่ได้แบ่งกันตามวาระเป้าหมาย แต่แบ่งตามโควตาทางการเมือง เห็นการแถลงนโยบายของรัฐบาลการกำหนดแผนงานของกระทรวงตลอดจนการจัดสรรงบประมาณอย่างนี้ 

“วันนี้อย่างที่เคยบอกว่าคิดใหญ่ทำเป็นบางวันกลายเป็นคิดไปทำไป คิดสั้นไม่คิดยาวบ้าง คิดอย่างทำอย่างก็มี หากการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้จะมีวาระร่วมกันจริงๆ เห็นว่าคงเป็นวาระเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตทางอำนาจของชนชั้นนำ นี่เป็นการรวมตัวกันเพื่อรักษาสภาวะเดิมของสังคมไทยเอาไว้ รวมตัวกันเพื่อปกป้องพลังทางสังคมแบบจารีตและต่อต้านพลังทางสังคมแบบใหม่ ที่ต้องการอนาคตที่ดี“ 

หากประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้าไปกว่านี้ จำเป็นต้องปฏิรูประบบราชการและระบบนโยบายที่ล้าสมัยและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยืนยันว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้การพิจารณางบประมาณเป็นประโยชน์กับประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้แม้จะผิดหวังกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อย่างมากมากที่สุดก็ตาม

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส