"จา พนม" เข้าชมรมคนกลัวเมีย พร้อมเคลียร์ข่าวเม้าท์เตรียมออกจากวงการจริงไหม?

30 พ.ย. 66

จา พนม เข้าชมรมคนกลัวเมีย เผยเส้นทางความรักกว่า 13 ปี พร้อมเคลียร์ข่าวเม้าท์เตรียมออกจากวงการจริงไหม?


นักแสดง นักบู๊ที่ดังไกลถึงฮอลลีวูด จา พนม หรือ โทนี่ จา ที่วันนี้จะมาเปิดตัวภรรยาครั้งแรก บุ้งกี๋ ปิยรัตน์ พร้อมเผยเส้นทางความรักกว่า 13 ปี ชีวิตคู่เป็นรักทางไกล เจอกันแค่ปีละ 3 เดือน ถึงขั้นภรรยาต้องเอ่ยปากเป็นเมียโทนี่ จา ต้องอดทน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow 

จา พนม

ล่าสุดเพิ่งคว้า 3 รางวัลกับ 3 เวทีใหญ่ระดับโลก เห็นว่ารางวัลนี้เทียบเท่ากับออสก้าเลย?
จา พนม : ทั้ง 3 รางวัลนี้เรามอบเป็นของขวัญให้กับคนไทย 1.เป็นรางวัลที่ผมก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าผมจะมีโอกาสได้ไปอยู่ ณ จุดนั้น 1.คือรางวัล สตาร์ออฟเดอะเยียร์ คือเป็นดาวเด่นแห่งปี เวทีที่2 จะเป็นรางวัล สตาร์เอ้าท์สแตนดิ้ง เอเซียน อาร์ทติส 2023 แล้วก็มีรางวัลที่3 เป็นรางวัล เดอะ บรูซ ลี อวอร์ด นี่คือสูงสุดแล้ว ถ้ามองในมุมคนทำแอคชั่น

เขาใช้เกณฑ์อะไรในการมอบรางวัล?
จา พนม : เราคงแปลกมั้งครับ อาจจะเป็นอัตลักษณ์ของเรา ซึ่งเป็นของคนไทย

วันนั้นพี่กระทบไหล่ดาราฮอลลีวูดมากมาย โมเมนต์ไหนประทับใจที่สุด?
จา พนม : ต้องบอกเลย ต่างภาษา ต่างเชื้อชาติ ต่างประเทศ ต่างวัฒนธรรม แต่ ณ ตรงนี้มาอยู่รวมกัน เราคือพี่น้องกัน เขามีมิตรไมตรีให้กับเรา เป็นโมเมนต์ที่เขามาแสดงความยินดีกับเรา มาพูดภาษาไทยด้วย

วันนั้นพี่ไปสร้างพลังของซอฟพาวเวอร์ ชุดไปงานก็กึ่งๆ มีผ้าไทย แล้วเห็นว่ามีที่ระลึกไปให้บรรดาซุปตาร์ที่มางานด้วย?
จา พนม : เป็นชุดที่ภรรยาดีไซน์ให้ ต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ของไทย มันบ่งบอกว่าเรามาจากไหน ซึ่งผมเอาพระพรหม ตะกรุด เครื่องรางของขลัง

จา พนม

พี่จาบอกว่ากว่าจะมีถึงวันนี้เป็นเพราะพี่เชื่อฟังภรรยา จริงๆ พี่เกรงใจหรือกลัว?
จา พนม : กลัวครับ กลัวเขาจะไม่สบายใจ กลัวเขาไม่มีอะไรกิน กลัวเขาจะนู้น จะนี่ กลัวเขาจะเป็นห่วง

ตอนพี่จาได้รางวัล คุณภรรยาก็บินไปให้กำลังใจถึงที่ด้วย?
บุ้งกี๋ : ค่ะ ไปด้วยกัน ก็ดูแลแต่งหน้า ทำผม แบบง่ายๆ ที่ทำได้ เขากลัวเราจะเสียใจมากกว่า ไม่ดุค่ะ

วันนี้พอเขาทำความฝันเขาสำเร็จตามเป้าที่วางไว้ พี่บุ๋งกี๋รู้สึกยังไงบ้าง?
บุ๋งกี๋ : ภูมิใจมากค่ะ บางที บางครั้งก็ช่วยกันคิด เราก็ช่วยตัดสินใจในหลายๆ เรื่อง มันมีเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาเยอะนะ บางทีเราตัดสินใจคนเดียวมันอาจจะไม่ดีพอ แต่ช่วยกันคิดทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยกัน

คู่นี้แต่งงานอยู่กินกันมา 13 ปี แต่พี่จาไปทำงานต่างประเทศร่วม 10 ปีแล้ว?
จา พนม : ร่วม 10 ปีแล้วครับ

จา พนม

ปีนึงจะได้เจอกับพี่บุ๋งกี๋ 3-4 เดือนเท่านั้น?
จา พนม : ครับประมาณนั้น

ความห่างเป็นผลกับจิตใจเราบ้างไหม?
บุ๋งกี๋ : มีเหงาบ้าง คิดถึงกันบ้าง แต่ก็มีวีดิโอคอลคุยกัน แต่สำคัญเลยคือ 1.ความเข้าใจ เราต้องเข้าใจก่อนว่าเขาทำงาน ด้วยงานและสถานที่มันคนละเวลากัน

ตอนนั้นลูกสาวคนโต 1 ขวบ พี่จาก็ต้องบินไปทำงานนาน 3 เดือน?
จา พนม : ใช่ครับ ถามว่าคิดถึงลูกไหม แน่นอนครับ เขากำลังน่ารัก เราอาศัยช่วงเบรกงานวีดิโอคอลมา มันก็ทำให้คลายความคิดถึงไปได้บ้าง

ณ วันที่พี่จาตัดสินใจไปทำงานที่ต่างประเทศ ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าไปแล้วมันจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า เชื่อว่ามันต้องเป็นการตัดสินใจที่หนักหน่วงที่สุด ตอนนั้นคุยกันยังไง?
บุ๋งกี๋ : ด้วยความสามารถและด้วยโอกาสที่มันเข้ามา ก็ควรที่จะต้องตัดสินใจต้องไปทำตรงนั้น มันไม่ใช่ตลอดไป มันเป็นแค่ช่วงเวลานึงสั้นๆ

จา พนม

ย้อนไปช่วงที่ตัดสินใจว่าจะไปแน่ๆ ชีวิตช่วงนั้นหนักหน่วงเหมือนกัน ทั้งข่าวสารพัดอย่าง บางที่เขียนว่า เหมือนพี่อกตัญญูกับค่ายเก่า บางที่บอกว่า พี่จาติสท์ คุยลำบาก มีโลกส่วนตัวสูง แล้วบวกกับต้องำปแบบนี้ด้วย มันทำให้เกิดปัญหากับพี่2คนไหมในการแก้ปัญหา?
จา พนม : ผมโชคดีมากที่มีครอบครัวและภรรยาที่ซัพพอร์ตผม ในที่นี่เราทำคนเดียวไม่ได้ ข้างหน้าต้องซัพพอร์ต มันคือความไว้ใจเลยเกิดความมั่นใจที่จะโฟกัสเดินไปข้างหน้า เพราะเรารู้ว่าไปข้างหน้าเราทำเพื่ออะไร

คู่นี้เขาให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตอนนั้นก็มีแฟนคลับที่เป็นสาวๆ เข้ามาหาพี่จาเยอะเหมือนกัน?
จา พนม : ก็เป็นเรื่องธรรมดา แฟนคลับก็มี แต่เราในเรื่องของการทำงาน เรามีหน้าที่ที่ต้องทำ ผมเชื่อว่าการทำแอคชั่นมันไม่ได้ง่ายๆ นะครับ มันต้องใช้พลังอย่างมาก และต้องทำให้คนเชื่อ โดยเฉพาะต่างประเทศเขายอมรับอะไรที่ยากมากๆ เราคิดว่าเราไปทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้ออกนอกลู่ นอกทาง ด้วยสังคมมันก็มี แต่เราโฟกัสในหน้าที่การงานของเรา

เห็นบอกว่ายึดหลักธรรมะ?
จา พนม : ก็มันเป็นกำลังใจ ไปต่างประเทศผมเอาเครื่องรางของขลังไปให้เพื่อน ทำไมเราถึงทำบุญ เพราะบุญคือกำลังใจ เราทำในสิ่งที่ดีนะ เราคิดบวกกับตรงนี้มันเลยเป็นพลังให้เรา

คือโฟกัสแต่เรื่องงาน เรื่องสาวๆ อยู่ข้างๆ อย่ามายุ่งกับฉัน?
จา พนม : แบบนั้นเราอาจจะไม่อิน

จา พนม

แล้วเวลาลูกถามหาพ่อ พี่บุ๋งกี๋จัดการยังไง?
บุ๋งกี๋ : ก็อธิบายด้วยเหตุผล ทุกอย่างภาพมันเห็นอยู่แล้ว คุณพ่อไปทำงานนะ เดี๋ยวเสร็จงานคุณพ่อกลับบ้าน

เคยมีจุดที่เห็นน้ำตาลูกแล้วไม่ไหว อยากกลับบ้านไหม?
จาพนม : มีโมเมนต์ที่แบบอยากกลับบ้าน คิดถึงอาหารไทย คิดถึงลูก คิดถึงครอบครัว คิดถึงเมืองไทย มีฟีลลิ้งนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เราต้องโอเค เรามาทำหน้าที่ตรงนี้

คุณแม่แอบดุ ตีลูกบ้างไหม?
บุ๋งกี๋ : จริงๆ เด็กไม่ได้เรียบร้อยตลอดเวลา เด็กก็จะมีงอแงบ้าง บางทีก็ไม่เข้าใจบ้าง ก็จะบอก มีความรู้สึกว่าเราบอกด้วยเหตุผล แต่ถ้าพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็มีแอบตีบ้าง

พี่จาอยากให้ลูกเป็นนักบู๊เหมือนเราไหม?
จา พนม : ผมไม่ได้คิดบังคับลูกว่าลูกต้องเป็นอะไร เมื่อเขาพร้อม เขาจะฉายแววมาเองว่าเขาชอบอะไร พร้อมที่จะสนับสนุนเขา

แล้วการดูแลภรรยา?
จา พนม : ก็เราเป็นสามี ก็ดูว่าเขาต้องการอะไร เราพร้อมที่จะสนับสนุน มาดูว่าความต้องการขนาดไหน

จา พนม

พี่บุ๋งกี๋บอกว่าการเป็นภรรยา จา พนม ต้องอดทน?
บุ๋งกี๋ : เขาก็ติสต์เหมือนกันนะคะ บางทีเขาก็จะไม่พูด บางวันเขาก็เงียบไปเลยทั้งวัน แล้วเขาอยู่แต่ในห้องทำงาน ดูหนัง ทำงานแบบนั้นทั้งวันไม่ทานข้าวก็มีบ้าง

ไม่ค่อยได้คุยกันบางทีก็เดาอารมณ์ไม่ถูก?
บุ๋งกี๋ : ใช่ บางทีลูกบ้าง จะไปรับลูกที่โรงเรียน แต่ตอนเช้าทุกวันเราจะต้องไปส่งลูกด้วยกัน แล้วเขากฌจะติสท์

แล้วพี่ทำยังไง ถ้าวันนี้ทั้งวันเขาดูหนังไม่คุยกับเรา?
บุ๋งกี๋ : เมื่อก่อนก็หงุดหงิดเหมือนกันนะ เรียกก๋ไม่ทำอะไรเลย แต่พอหลังๆ ชิน โอเคไม่ต้องทะเลาะกันเธอทำไป ฉันก็ไปทำหน้าที่ของฉัน

จริงไหมพี่จา?
จา พนม : อันนี้ต้องยอมรับความจริงครับ เราเป็นคนแบบว่า ลึกๆ เราต้องการความสงบ เพราะ 1.เราทำงานที่ค่อนข้างจะเสี่ยงสูง บางที บางอย่างมันพูดกับใครไม่ได้ บางทีเราต้องใช้การดีลีดแล้วนิ่งๆ คนเดียว แต่เราพยายามที่จะปรับนะให้มันลดลงมา

พี่รู้ไหมว่าภรรยาพี่แอบน้อยใจอยู่ลึกๆ แล้วใช้วิธีเงียบไป?
จาพนม : รู้ครับ ก็พาเขาไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยว

จา พนม

เปย์เยอะไหม?
บุ๋งกี๋ : เราก็เลือกเอาที่เหมาะสม
จา พนม : การเซอร์ไพรส์ก็มีบ้าง แต่ต้องขอบคุณภรรยา เราไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง เราโฟกัสเรื่องเดียว แต่ผู้หญิงโฟกัสหลายเรื่องได้ ดูแลแทนเราในสิ่งที่มันจุกจิกๆ

มีช่วงนึงที่พี่หายหน้า หายตาไป คุณบุ๋งกี๋ก็ติกต่อไม่ได้?
บุ๋งกี๋ : ถ้าเป็นช่วง 10 ปีที่แล้วยังไม่ได้เจอกัน แต่จะมีช่วง 5 ปีที่แล้ว
จา พนม : ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมต้องย้ายเมือง แล้วนั่งเครื่องบินส่วนตัว เป็นเครื่องบินเล็ก ประมาณ 4-5 คนกับโปรดิวเซอร์ แล้วผมก็ไม่ได้บอกทีมงาน คลื่นมันขาดหายไปเลย ไม่มีสัญญาณ โทรศัพท์ใช้ไม่ได้ แล้วผมประสบอุบัติเหตุไม่ได้เล่า ไม่ได้บอกครอบครัว มันมีอยู่ฉากนึงที่ผมจะต้องแอคชั่นที่โขดหินในถ้ำ ผมกระโดดเตะจากที่สูง แล้วข้อเท้าเสียงดังก๊อก ทุกคนในกองได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ ทุกคนตกใจมาก เราขยับขาไม่ได้ พักกอง เรียกรถพยาบาลหามผมไปที่โรงพยาบาลทั้งชุดมอนสเตอร์ฮันเตอร์ พอไปถึงโรงพยาบาล หมอก็ตกใจ ดูหน้ามีเลือดเต็มไปหมด ผมเลยบอกว่าไม่ใช่หน้าแต่บาดเจ็บที่เท้า แต่ผมไม่บอกครอบครัว

พี่จาจะออกจากวงการไหม?
จา พนม : คงไม่ครับ ตอนนี้หลักสี่แล้วจะสู่พระราม5 ก็ไม่คิดว่าจะออก เพราะว่า เรามีอะไรจะต้องทำอีกเยอะ

จา พนม

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส