นายอำเภอนำสาธารณสุขฯ บุกบ้านหมอเถื่อนอ้างรักษาโรคมะเร็งหาย

27 พ.ย. 66

 

นายอำเภอนำสาธารณสุขฯ บุกบ้านหมอเถื่อนอ้างรักษาโรคมะเร็งหาย พบเคยเรียนวิชาแพทย์ สมัยเป็นอดีตสหายเก่า รักษาถึงบ้านรายละ 3,000-4,000 บาท 

วันที่ 27 พ.ย. 66 น.ส.สุกัญญา กุลสุวรรณ์ นายอำเภอแก้งคร้อ ได้รับคำสั่งจากนายสมบัติ ไตรศักดิ์ รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ให้นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง-สาธารณสุขฯ พร้อมด้วยกำนันผู้ใหญ่บ้านรุดเข้าตรวจสอบที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ม.1 บ้านท่ามะไฟหวาน ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ พบกับนายสมภพ หรือ หมออี๊ด อายุ 64 ปี เจ้าของบ้านดังกล่าว ได้เปิดเป็นสถานพยาบาลฯ 

โดย น.ส.สุกัญญา ได้เข้าไปสอบถามหมออี๊ด ถึงสาเหตุที่ทำไมถึงต้องเดินทางไปทำการรักษาผู้ป่วยตามที่ต่างๆ จนเป็นข่าวลือโด่งดังไปทั่วในขณะนี้ โดยหมออี๊ด เล่าว่า เดิมที่ตนก็มีอาชีพทำการเกษตรกรรมมาแต่เดิม แล้วต่อมาได้เดินทางเข้าป่าที่ จ.สกลนครกับกลุ่มสหายคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น และตนได้เรียนรู้เกี่ยววิชาแพทย์ด้านการแพทย์จากเพื่อนสหายคอมมิวนิสต์จนแตกฉาน อยู่ในป่าประมาณ 4 ปี หลังเหตุการณ์บ้านเมืองสงบสุขแล้วจึงได้ออกจากป่าพร้อมกับสหายฯต่างๆ แล้วกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของตนที่บ้านท่ามะไฟหวาน 

ในช่วงนั้นภรรยาได้ล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ปากมดลูกไปรักษาที่โรงพยาบาลชัยภูมิและโรงพยาบาลฯเอกชนมาหลายโรงพยาบาลก็ไม่หาย ตนจึงได้ตัดสินใจทำการรักษาให้ภรรยาและครอบครัวเองตามวิธีการรักษาที่ได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาจากในป่า มาทำการรักษาให้พ่อภรรยาและลูก โดยเฉพาะตัวของภรรยา ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งที่มดลูก ตนก็รักษาสามารถทำการรักษาจนภรรยาของตนหายจากการป่วยจนถึงทุกวันนี้ เมื่อข่าวดังไปถึงหูผู้ป่วยคนต่างๆ ทั่วทั้ง จ.ชัยภูมิก็จะมีประชาชนชาวบ้านที่เจ็บป่วยเป็นโรคมะเร็ง บางโรคปวดข้อเขาเสื่อมพากันเดินทางมาให้ตนทำการรักษาจนหายขาดจนถึงทุกวันนี้ รวมเวลาในการที่ตนเองรักษาผู้ป่วยมาก็ประมาณ 6 ปีกว่าแล้ว ส่วนมากคนไข้ที่ตนทำการรักษามาก็หายมาแล้วประมาณ 90% โดยตนใช้วิธีการรักษา ทั้งทางแพทย์แผนไทยโดยการฝังเข็ม และทำการฉีดยาแผนปัจจุบันคู่กัน การฉีดยาวิตามินบี 6 บี12 และยาที่เกี่ยวกับการระงับอาการปวดให้กับคนไข้ 

หลังตรวจสอบพบว่า หมออี๊ดไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจึงถือว่ามีความผิด น.ส.สุกัญญาจึงได้มีการพูดคุยขอให้หมออี๊ด ขอให้หยุดทำการรักษาผู้ป่วยอีกต่อไป ถ้ายังกระทำต่อก็จะมีมาตรการในขั้นตอน เพื่อหยุดยั้งการกระทำและจะดำเนินคดีตามกฏหมาย 

ด้านคุณยายสอน (สงวนรมสกุล) อายุ 66 ปี ยอมรับว่า ที่ตนเองเดินทางมารับการรักษาด้วยการฉีดยากับชายสูงอายุลักษณะท่าทางน่าเชื่อถือ และที่สำคัญอ้างว่าเป็นหมอ มีคลินิกเป็นของตนเองอยู่ที่ อ.แก้งคร้อ เนื่องจากตนเห็นว่ามีเพื่อนที่อยู่ในหมู่บ้านมาเล่าให้ฟังว่าไปทำการรักษาด้วยวิธีการฉีดยากับหมอคนดังกล่าวหลังจากนั้นอาการดีขึ้น ตนเห็นว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับตน เนื่องจากเดินทางไปทำการรักษากับหมอตามโรงพยาบาลต่างๆ อาการปวดขาก็ไม่ดีขึ้น เมื่อมีหมอมาทำการรักษาที่บ้าน ตนก็เลยไปรับการรักษา ส่วนเงื่อนไขในการรักษานั้นต้องจ่ายให้คนที่อ้างว่าเป็นหมอคิดค่าบริการรักษาจำนวน 4,000 บาท และสามารถแบ่งจ่ายได้ตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป ในวันนี้มีเพื่อนผู้สูงอายุในหมู่บ้านเดียวกันมารอทำการรักษาจำนวนกว่า 20 ราย ขณะที่ตนหลังรับการรักษาเสร็จเรียบร้อยก็ออกมานั่งพูดคุยกับเพื่อนบ้านที่ยังไม่ได้ทำการรักษา 

ขณะที่นางนิตยา ออกมายอมรับว่า ตนเป็นผู้ที่เข้าไปสอบถามชายที่อ้างว่าเป็นหมอจริง เนื่องจากเห็นว่ามีอะไรหลายอย่างที่ผิดปกติ เช่น รถยนต์ส่วนตัวของชายที่อ้างว่าเป็นหมอ ไม่มีตราหรือสัญลักษณ์ของทางราชการแต่อย่างใด ส่วนตัวของชายที่อ้างว่าเป็นหมอนั้น ก็มีบุคลิกท่าทางเหมือนชาวบ้านทั่วไปธรรมดา และที่สำคัญเมื่อตนได้เข้าไปสอบถาม และขอดูเอกสารใบประกอบโรคศิลป์ ตลอดจนเอกสารทางราชการที่พอจะเชื่อได้ว่าเป็นแพทย์แผนไทย หรือแพทย์แผนปัจจุบัน แต่หลังจากสอบถามปรากฏว่าชายที่อ้างตัวว่าเป็นหมอแสดงอาการไม่พอใจ และรีบเก็บอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์กลับขึ้นรถแล้วขับออกไปจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ต่อมาชาวบ้านที่มารอรับการบริการต่างไม่พอใจ กล่าวหาว่าตนคือต้นเหตุ ทำให้หมอต้องยุติการรักษาและเดินทางออกจากหมู่บ้านไป โดยไม่ทราบว่าจะกลับมาอีกเมื่อไร 

อย่างไรก็ตามจนขณะนี้ตนยังไม่แน่ใจว่า คนดังกล่าวเป็นหมอจริงหรือไม่ หากเป็นหมอจริงตนก็ขอยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะไปขัดขวางการรักษาแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นการแอบอ้างหรือมาทำการรักษาชาวบ้าน ตนก็อยากขอให้ยุติการหลอกลวงชาวบ้านเสีย ซึ่งตนก็มีความวิตกกังวลเป็นห่วงสำหรับผู้ที่รับการรักษาไปก่อนหน้านี้ว่าจะมีอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ อยากจะขอฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยตรวจสอบด้วยว่าเป็นหมอจริงหรือเปล่า

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส