ธนาธร สอนมวยเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยกู้เงิน 5 แสนล้าน ถ้าซื้อไอเดียพร้อมให้ข้อมูล

17 พ.ย. 66

 

ธนาธร ไม่เห็นด้วยกู้เงิน 5 แสนล้าน สอนมวยเพื่อไทย ใช้งบฯ ปกติวาง​ 5 โครงการ​ ทยอยทำ 8 ปี ไม่ต้องกู้ ถ้าซื้อไอเดียพร้อมให้ข้อมูล 

วันที่ 17 พ.ค. 66 นายธนาธร​ จึง​รุ่งเรือง​กิจ​ ประธานคณะก้าวหน้า​ กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ประเทศไทยควรได้อะไร หากต้องใช้ 5 แสนล้าน” ตอนหนึ่งว่า​ หากดูจาก​ GDP ของไทยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านใน 10 ปี​ ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านและโลก​ แต่สถานการณ์​ยังไม่ถึงขั้นเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจ​ แต่ก็ยังไม่สามารถเเข็งขันกับโลกได้​  เนื่องจากการเติบโตที่ช้า​ ไม่มีขีดความสามารถ​ในการแข่งขันที่มากพอ​ โดยต้องเริ่มแก้ที่ปัญหาคนไม่มีงานที่มั่นคงทำ 

นายธนาธร​ ระบุว่า​ หากมี​ 5 แสนล้านจะเริ่มต้นด้วยการพัฒนาด้านการขนส่งสาธารณะ​ สาธารณสุข​ สิ่งแวดล้อม​ การศึกษา​ และน้ำปะปา​ แม้หลายคนมองว่าเป็นความฝันที่ทะเยอทะยาน​ ขณะเดียวกันต้องตอบโจทย์คนต้องมีงานทำ​ และสามารถแข่งขันกับโลกได้​ หากนำมาพัฒนาระบบการแพทย์ทางไกล​ หรือ​ Telemedicine  ซึ่งจะใช้งบรวม​ 60,900 ล้านบาท​ จะสามารถลดความแออัดของโรงพยาบาล​ และเกิดการจ้างงานให้อาสาสมัครสาธารสุข​ หรือ​ อสม.​ รวมไปถึงเกิดฐานข้อมูลขนาดใหญ่​ 

ขณะที่การพัฒนาระบบคมนาคม​สาธารณะ​จะใช้งบประมาณ​ 88,000​ ล้านบาท​ ปัจจุบันประเทศมีการนำเข้าพลังงานปีละ​ 1.2 ล้านล้านบาท​ ซึ่งต้องเพิ่มระบบการขนส่งสาธารณะ​ให้เพิ่มมากขึ้น​ เพื่อลดปริมาณการใช้​พลังงานจากรถยนต์​ส่วนตัว​  สร้างเศรษฐกิจ​รถเมล์​ไฟฟ้า​ เพื่อสร้างเศรษฐกิจสองข้างทาง​ และเกิดอุตสาหกรรม​ต่อเนื่อง​ รวมไปถึงสามารถลดการเกิดอุบัติเหตุ​ 

ด้านการพัฒนาระบบน้ำปะปา​ดื่มได้ ใช้งบประมาณ​ 66,755 ล้านบาท​ ซึ่งจะสามารถทำให้น้ำปะปาทั้งประเทศสามารถดื่มได้​ ทั้งหาเตรียมแหล่งน้ำ​ ลงทุนการพัฒนาระบบผลิตน้ำ ขณะนี้ได้มีการพัฒนาออกมา​ และได้รับรองมาตรฐานผ่านการควบคุมคุณภาพแล้ว​ 2 ที่คือที่​ ต.​ อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด และ​ อ.​คำม่วง​ จ.กาฬสินธุ์​ 

นายธนาธร​ ระบุว่ส่วนการพัฒนาสิ่งแวดล้อม กว่าร้อยละ​ 80 บ่อขยะในไทยไม่ได้มาตรฐาน​สุขอนามัย​ ในท้องถิ่นมีการลงทุนกับขยะน้อยที่สุดในการสร้างบริการสาธารณะ​  ซึ่งการทำบ่อขยะที่ถูกต้องลงทุนมหาศาล​ โดยจะใช้งบประมาณในการลงทุน​ 118,238  ล้านบาท​ พร้อมกับมองว่า​จะต้องดึงการร่วมทุนจากต่างประเทศในการสร้างโรงงานกำจัดขยะ​ เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ในการบริหารจัดการทางเทคโนโลยี​ ก่อนที่จะสร้างโรงงานเองในพื้นที่อื่น 

ด้านการพัฒนาด้านการศึกษา​​ ต้องรองรับโลกใบใหม่​ และให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษา​ ซึ่งยังไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อสร้างทักษะให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลง​ ขณะเดียวกันการลงทุนเพื่อการศึกษาจะต้องไม่ใช่เพียงคำพูด​ สามารถเข้าถึงคุณภาพการศึกษา เพื่อเมื่อจบไปให้สามารถแข็งขันกันได้อย่างเท่าเทียม​  ซึ่งการพัฒนาระบบการศึกษา​ จะใช้งบประมาณ​ 120,880 ล้านบาท 

นายธนาธร​ กล่าวว่า​ ทั้ง 5​ โครงการนี้​ ไม่ถึง​ 5 แสนล้านทำได้​ รัฐบาลสามารถเลือกได้ในเชิงการคลังว่ารัฐบาลจะทำเอกหรือให้ภาคเอกชนร่วมลงทุน​ เพื่อลดรายจ่ายของภาครัฐ​ลง​ เป็นการยืดหยุ่น โดยอย่าให้เป็นการฉกฉวยภาษีประชาชนเข้าสู่กระเป๋านายทุนหรือนักการเมือง​ ซึ่งถือได้ว่าเป็นโจทย์​ใหญ่​ หลักคิดต้องนำปัญหาสังคมมาสร้างความต้องการในประเทศ​ และเปลี่ยนความต้องการสร้างอุตสาหกรรม​ใหม่​ สร้างความรู้​ สร้างเทคโนโลยี​ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ 

พร้อมกับกล่าวยืนยันว่า​ โครงการที่ตนเสนอมาสามารถใช้งบประมาณปกติได้​ แต่ไม่สามารถสร้างได้ในปีงบประมาณเดียว​ ต้องทะยอยทำ หากมองด้วยความเป็นจริง​ 8 ปีสามารถเป็นไปได้​ ใน​ 2 สมัย​ 4 แสนกว่าล้าน​ และหากหาร​ 8 ออกมาไม่แพง​ หากค่อยๆ ทำผ่านงบปกติ​  พอหาได้จากงบลงทุน​ พร้อมขอให้เลิกซื้อ​ ตัดถนนไม่จำเป็น​ ตนอยากใช้แก้ปัญหา​ ให้ลูกหลานมีงานทำ​ 

“การกู้เงิน 500,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในนโยบายเงินดิจิทัล 10,000  บาท ไม่เห็นด้วย และมองว่าประเทศไทยยังถึงขั้นวิกฤตเศรษฐกิจ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินในครั้งนี้ สิ่งที่ได้เสนอนี้ อยากให้สังคมได้ไปพูดคุยและแลกเปลี่ยน ตอนวิกฤตโควิด-19 ไทยได้กู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งวันนี้หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะอยู่สูงมาก ปัญหาอยู่ที่เราไม่มีขีดความสามารถที่เพียงพอให้ประเทศไทยแข่งขันได้ ยืนยันว่าการออกมาในครั้งนี้ เป็นเพียงแค่การเสนอทางเลือกให้กับพรรคเพื่อไทย ส่วนเพื่อไทยฟังแล้วจะนำไปทำหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่หากพรรคเพื่อไทยสนใจก็พร้อมที่จะให้ข้อมูลและพูดคุยกัน อย่างไรก็ตามไม่ขอวิจารณ์ หากนโยบายสำเร็จหรือไม่” 

เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยสนใจข้อเสนอ แต่ติดเรื่องนโยบายที่หาเสียงไปแล้วจะต้องทำนั้น นายธนาธร ระบุว่า หากไม่สามารถทำได้ ก็จะต้องพูดตรงๆ กับประชาชนดีที่สุด

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม