ลูกวัย 12 ขวบถูกปธ.ชุมชนขืนใจกว่า 4 ปี จนตั้งครรภ์ แถมขู่ห้ามเอาเรื่อง

3 พ.ย. 66

แม่พาลูกสาวร้อง สายไหมต้องรอด หลังลูกวัย 12 ขวบถูก ประธานชุมชน ขืนใจมานานกว่า 4 ปี จน ตั้งครรภ์ แถมข่มขู่ห้ามเอาเรื่อง

แม่พาลูกสาววัย 12 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนชั้น ม.1 มาร้องเรียนกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังจากถูกอดีตประธานชุมชนข่มขืน ซึ่งมีสถานะเป็นลุงเขยของเด็กผู้เสียหาย กระทำชำเรามานานกว่า 2 ปี จนตั้งครรภ์ ซึ่งเด็กก็ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ จนกระทั่งทางญาติเห็นผิดสังเกต เลยพาไปตรวจพบว่าตั้งครรภ์เกือบ 9 เดือนแล้วและเพิ่งคลอดลูกเมื่อ 1 กันยายนที่ผ่านมา โดยเหตุผลที่ตัดสินใจมาร้องขอความช่วยเหลือกับเพจสายไหมต้องรอด เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นอดีตประธานชุมชน จึงมีอิทธิพลในชุมชนอย่างมาก

โดยแม่ผู้เสียหายระบุว่า ตนรู้ข่าวประมาณช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สังเกตเห็นว่าน้องเหมือนจะตั้งครรภ์เลยพาน้องไปตรวจที่โรงพยาบาล ผลปรากฏว่าน้องตั้งครรภ์ได้ 8 เดือนแล้ว จากการพยายามสอบถามน้อง น้องยืนยันว่าถูกพี่เขยของตนเอง ซึ่งมีสถานะเป็นลุงเขยของเด็กผู้เสียหายข่มขืนกระทำชำเรามาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โดยจะลงมือข่มขืนทุกครั้งเวลาที่ลูกสาวไปนอนเล่นกับหลานที่บ้านของพี่สาวตนเอง ซึ่งในช่วงตอนกลางวันนั้นพี่สาวจะไม่อยู่บ้าน จะมีเพียงแต่พี่เขยที่อยู่บ้าน และมักใช้เวลานั้นในการฉวยโอกาสกระทำชำเรา แต่พี่เขยไม่ได้ข่มขู่หลานสาวแต่อย่างใด บอกแค่ว่าอย่าไปบอกใครแค่นั้น พร้อมให้เงินครั้งละ 1,000 บาท จนกระทั่งน้องตั้งครรภ์

แม่ผู้เสียหายเมื่อได้ทราบเรื่องราวก็รู้สึกช็อกตกใจ รับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เลยได้ไปสอบถามกับพี่เขยและพี่สาว ซึ่งตอนแรกพี่เขยมาพูดกับตนประมาณว่าขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น จึงแน่ใจว่าตัวพี่เขยจะยอมรับผิดในสิ่งที่ทำลงไป จึงสอบถามต่อว่าจะทำต่อไปอย่างไร ปรากฏว่าตัวพี่เขยกับปฏิเสธ โดยอ้างว่าตนเองเป็นหมัน จะไปมีลูกได้อย่างไร และไม่ยอมรับผิด รวมทั้งด่าตนว่าเลี้ยงลูกยังไงถึงไม่รู้ว่าตั้งครรภ์มาได้ 8 เดือน ในขณะที่พี่สาวกลับมาโทษหาว่าเป็นความผิดของลูกสาวตนเอง ไม่ใช่ความผิดของตัวพี่เขยแต่อย่างใด จึงทำให้ตนไม่พอใจอย่างมาก จนสุดท้ายฝั่งตนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับฝั่งของพี่เขยอีก

หลังจากที่ลูกสาวได้คลอดน้องออกมาในวันที่ 1 กันยายน ตนได้ถามพี่เขยและพี่สาวว่าจะเอายังไง ทางพี่เขยก็บอกว่าขอเจรจาไกล่เกลี่ย อย่าให้เรื่องถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะไม่อยากติดคุกตอนแก่ ส่วนพี่สาวบอกกับตนว่าจะทำอะไรก็ทำเลย ตนก็เลยพาลูกสาวไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับตัวพี่เขยในข้อหาพรากผู้เยาว์เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีและข่มขืนกระทำชำเราเด็ก แต่ปรากฏว่าถูกญาติพี่น้องมาต่อว่าโดยอ้างว่าตัวพี่เขยเป็นถึงประธานชุมชน เคยทำคุณงามความดีในชุมชนมาก่อน ทำไมไม่คิดถึงความดีของพี่เขยที่ทำไว้ในชุมชนบ้าง รวมทั้งยังถูกผู้ใหญ่บางคนมากดดันให้ตนถอนแจ้งความอีกด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างมาก เพราะผิดทั้งหลักกฎหมายและหลักศาสนาอิสลาม ส่วนของความดีก็ส่วนความดีไป ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่มาทำกับลูกของตนเช่นนี้ โดยหลังจากนี้จะรอให้หลานสาวอายุครบ 4 เดือนถึงจะไปตรวจ DNA ที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งขณะนี้ พนักงานสอบสวน สน.อุดมสุข ได้ทำเรื่องประสานไปยังโรงพยาบาลตำรวจแล้ว โดยทางพี่เขยก็ยินยอมที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจ DNA เช่นกัน แต่เนื่องจากหลานสาววัย 2 เดือน ร่างกายยังไม่แข็งแรง จึงต้องรอให้ครบ 4 เดือนก่อนถึงจะสามารถตรวจ DNA ได้

สิ่งที่ตนกังวลจึงมาร้องเรียนกับทางเพจสายไหมต้องรอด เนื่องจากเกรงกลัวถึงความมีอิทธิพลของพี่เขยที่เป็นถึงอดีตประธานชุมชน จึงกลัวว่าจะนำผู้ใหญ่มากดดันทำให้คดีเงียบ รวมทั้งอยากเรียกร้องให้ครอบครัวฝั่งพี่เขยมารับผิดชอบในสิ่งที่กระทำลงไปกับลูกของตน โดยยืนยันว่าแม้พี่สาวจะให้อภัยในการกระทำของพี่เขย แต่ตนและครอบครัวไม่ให้อภัยในสิ่งที่พี่เขยกระทำลงไปเด็ดขาด

ด้านนายเอกภพ กล่าวว่าต่อให้อายุของทารกยังไม่สามารถตรวจ DNA ได้ แต่ทางตำรวจจะต้องดำเนินคดีกับตัวพี่เขย เพราะเป็นคนละเรื่องกันและพยานหลักฐานจากปากเด็กก็แน่ชัดแล้ว ซึ่งตอนนี้ทางพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกให้พี่เขยมารับทราบข้อกล่าวหาแล้วและให้การปฏิเสธในชั้นพนักงานสอบสวน ส่วนตัวเด็กนั้นได้สอบปากคำร่วมกับสหวิชาชีพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ ตนจะประสานไปยัง ผกก.สน.อุดมสุข เพื่อเร่งรัดการดำเนินคดีสำนวนส่งฟ้องตัวพี่เขยไปยังพนักงานอัยการต่อไป เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่น่าสลดใจอย่างมากที่มากระทำกับคนในครอบครัวตนเอง และใช้ความเป็นผู้มีอิทธิพลมาปิดปาก ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีใครมีอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมายแน่นอน

ทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับตัวพี่เขยซึ่งถูกกล่าวหาว่าข่มขืนกระทำชำเราหลานตนเองตั้งแต่ 10-12 ขวบจนตั้งครรภ์ โดยพี่เขยได้ปฏิเสธกับสื่อมวลชนว่าไม่เคยข่มขืนกระทำชำเราหลานสาวตนเอง โดยหลานสาวคนนี้ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก จะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร อีกทั้งเวลาที่หลานสาวมานอนเล่นที่บ้านตนเองนั้น ส่วนใหญ่จะมาเล่นกับหลานและมักจะมาในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ เพราะเนื่องจากวันธรรมดาเวลากลางวันหลานสาวต้องไปเรียน อีกทั้งตอนที่หลานสาวอยู่บ้านตน ภรรยาของตนเองซึ่งเป็นพี่สาวของแม่เด็กก็อยู่ด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะทำอะไรหลานสาวในช่วงเวลาดังกล่าว

ตนจึงมองว่านี่เป็นการใส่ร้ายกันมากกว่าและไม่รู้ว่าทำไปทำไม แต่ในวันที่แม่เด็กและตัวเด็กมาพูดคุยกับตน วันนั้นตนก็ยินดีที่จะรับลูกของหลานสาวมาเลี้ยง เพราะตนก็ไม่มีลูก แต่กลับถูกกล่าวหาว่าไปข่มขืนกระทำชำเราและแจ้งความดำเนินคดี โดยที่ไม่มีการไกล่เกลี่ยพูดคุยอะไรกันก่อนเลย ซึ่งตนไม่ต้องการให้ขึ้นโรงขึ้นศาล อยากให้พูดคุยไกล่เกลี่ยและยินดีที่จะรับลูกของหลานมาเลี้ยง

ส่วนเรื่องที่พี่เขยเป็นหมันนั้น พี่เขยชี้แจงว่าจริงๆแล้วเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตนได้ไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ ซึ่งตอนนั้นภรรยาของตนมีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ ทางแพทย์เลยจะฉีดน้ำเชื้อเข้าให้ แต่เนื่องจากขัดหลักศาสนาอิสลาม ตนเลยปฏิเสธไปและนับแต่นั้นเป็นต้นมา ตนกับภรรยาก็ไม่มีลูกด้วยกันอีกเลย แต่ไม่ได้มีผลตรวจจากแพทย์ยืนยันว่าตนเป็นหมันแต่อย่างใด แต่พี่เขยยืนยันว่าตนไม่สามารถมีลูกได้

โดยพี่เขยระบุกับผู้สื่อข่าวว่า ยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจ DNA และต่อสู้คดี เพราะเนื่องจากตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ทางฝั่งแม่เด็กก็ได้แจ้งความดำเนินคดี ทั้งที่ควรจะมาพูดคุยไกล่เกลี่ยให้มันจบๆ ก่อน ยืนยันว่าตนไม่รู้เรื่องที่มีผู้ใหญ่ไปพูดจาข่มขู่ให้แม่เด็กถอนแจ้งความหรือถอนคดีแต่อย่างใด

 

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส