ไป 2 กลับมาแค่ 1 แฟนสาวใจสลาย ถูกบังคับทำงานแฟนหนุ่มโดนระเบิดดับคาที่

21 ต.ค. 66

แฟนสาวเล่าไปทำงานที่ อิสราเอลด้วยกัน แต่ได้กลับมาคนเดียว เพราะถูกบังคับให้ทำงานกลางสงครามจนแฟนหนุ่มโดน ระเบิด ดับคาที่ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าร่างไปอยู่ไหน วอนรัฐเร่งนำร่างแฟนกลับไทย

นายชัยมงคล กอรัตน์ ผู้ใหญ่บ้านดงสว่าง ม.6 ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ได้รับประสานจาก นายฉลาด ฤทธิธรรม อายุ 62 ปี ว่าบุตรสาวของตนเองซึ่งไปทำงานอยู่ประเทศอิสราเอลได้เดินทางกลับมาบ้านที่บึงโขงหลงแล้ว ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับนางพุทธรัตน์ ฤทธิธรรม หรือนุ้ย อายุ 36 ปี เปิดเผยว่า ได้ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลประมาณ 6 ปี ได้คบกับนายศักดิ์สิทธิ์ โคตมี อายุ 37 ปี คน ต.ดงเย็น อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ที่อิสราเอล และอยู่ด้วยกันมาประมาณ 5 ปี โดยที่ไม่ได้จดทะเบียน ตอนแรกทำงานอยู่ในไซต์งานเกษตรปลูกผัก ผลไม้อยู่เมืองเฮอร์เซอลียา ต่อมานายจ้างไปไม่รอด นายจ้างคนปัจจุบันก็ไปซื้อวีซ่าให้ขึ้นมาทำงานในเมืองเฌอมีเรียล ห่างจากฉนวนกาซาประมาณ 10 กว่า กิโลเมตร มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 5 หมื่นกว่าบาทสามีทำงานเก็บเงิน เพื่อจะมาสร้างบ้านในราคา 6 แสนกว่าบาท ซึ่งใกล้จะเสร็จแล้วและจะทำงานอีกสักปี เพื่อเก็บเงินก้อนแล้วกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่ก็มีเหตุสงครามมาคร่าชีวิตของสามี หลังสู้รบกันก็ปรึกษากันอยู่ว่าจะกลับบ้านเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว

โดยเหตุการณ์สู้รบเริ่มวันที่ 7 ต.ค. 66 พอวันที่ 8 – 9 ต.ค. นายจ้างไม่ให้ทำงาน แต่พอมาวันที่ 10ต.ค. นายจ้างบังคับไปทำงานทั้งที่มีการสู้รบกันประมาณ 10 โมงเช้า ก่อนเกิดเหตุในตอนเช้านายจ้างโทรมาบอกสามีให้คนงานออกไปทำงาน เพราะว่าสามีเป็นหัวหน้า และบอกให้สามีออกไปฉีดยาไร่บวบซูกินี ก่อนโดยนายจ้างออกไปเฝ้าด้วย ซึ่งก่อนไปก็ไปบอกคนงานว่าถ้าไม่ไปนายจ้างจะไล่ออกจากแคมป์ไม่ให้อยู่ ก็จำเป็นต้องไป ซึ่งไร่ก็อยู่นอกแคมป์ไม่มีโดมหรือที่หลบภัยให้อาศัยเป็นที่โล่งแจ้ง ตอนเกิดเหตุทำงานอยู่คนละฝั่งกับสามีห่างกันประมาณ 200 – 300 เมตรเวลาเกิดเหตุ 14.30 น. พอดี ได้ยินแต่เสียงเตือน 2 ครั้ง อยู่ในบ้านพักสักพักระเบิดลง ลูกชายนายจ้างก็ตะโกนเรียกให้นุ้ยเข้าไปหลบใต้ท้องรถฉีดยา กระวนกระวายใจรีบโทรหาสามีแต่โทรไม่ติด เห็นแต่เพื่อนที่ทำงานด้วยกันวิ่งกลับมาก็เลยถามว่าเห็นสามีไหมเป็นยังไงบ้าง แต่ไม่มีคนตอบทั้งที่ทุกคนรู้แล้วแต่ไม่มีใครตอบนุ้ย คงกลัวเราช็อคตั้งแต่ระเบิดลงลูกแรกก็สติแตกเลยโทรหาสามีกี่ครั้งก็ไม่ติดเพื่อนที่ทำงานด้วยกันก็เลยดึงขึ้นรถกลับแคมป์ก่อนค่อยว่ากัน หลังเกิดเหตุก็มีทหารพร้อมรถพยาบาลวิ่งมารับสามีและคนเจ็บแต่เขาไม่ให้คนไทยเข้าไปใกล้ จากนั้นเพื่อนก็พาทำเรื่องยื่นเอกสารขอกลับบ้านเพราะนายจ้างก็หนีหายไปไม่ทำเรื่องอะไรให้จนค่ำกว่าจะตั้งสติได้ ก็พากันส่งรูปไปกงสุล กงสุลก็ติดต่อมาผ่านล่ามใช้เวลานานกว่า 3 – 4 วันกว่าจะได้มาอยู่ในที่ปลอดภัยและกลับมาไทยได้

อยากวอนรัฐบาลช่วยหาศพสามีให้เจอและรีบนำร่างกลับมาประกอบพิธีทางศาสนาเพราะว่าศพที่ตายพร้อมกันก็ถูกนำกลับมาแล้ววันนี้ (20ต.ค. 66) ส่วนศพสามียังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยส่วนค่าสินไหมต่าง ๆ ก็คงให้พ่อแม่ฝั่งสามีเป็นคนจัดการเพราะตนกับสามีไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันซึ่งหากได้ศพสามีกลับมาก็จะตั้งทำบุญตามประเพณีอยู่ที่บ้านในจังหวัดอุดรธานี และจะไปรับศพสามีด้วย ส่วนคลิปที่ได้มาก็มีแต่คนที่อยู่ใกล้และประสบเหตุถ่ายเอาไว้ นายจ้างไม่ให้เข้าไปใกล้เลยเมื่อถามว่าค่าแรงที่ได้มันคุ้มไหม มันก็คุ้มอยู่ 5 – 6 หมื่นบาท แต่มันไม่คุ้มเมื่อเจอเหตุการณ์สู้รบและยิ่งนายจ้างไม่รับผิดชอบอะไร โดยขากลับให้ล่ามจองตั๋วเครื่องบินให้ในวันที่ 11 ต.ค. 66 ในราคา 850 ดอลล่าร์ ได้เที่ยวบินวันที่ 15ต.ค. เวลา 21.45 น. ถึงไทยเวลา 10.30 น. ของวันที่ 16 ต.ค. และเย็นต่อเครื่องมาลงอุดรธานี และไปนอนพักที่บ้านสามีเพื่อเป็นกำลังใจให้ครอบครัวสามีก่อนจะเดินทางกลับมาที่จ.บึงกาฬ

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส