ร้อง ตร.ไซเบอร์ ดำเนินคดีร้านทอง หลังลงทุนทองคำเสียหายกว่า300ลบ.

6 ต.ค. 66

กลุ่มผู้เสียหาย กว่า 30 คน เข้าร้องตำรวจไซเบอร์ (สอท.) หลังลงทุนทองคำ กับร้านทองใน จ. ลำพูน แต่เจ้าของร้านประวิงเวลาการจ่ายเงิน มีผู้เสียหายกว่า 100 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท 

นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งสายไหมต้องรอด พากลุ่มผู้เสียหายถูกหลอกร่วมลงทุนทองคำแท่ง กับร้านทองแห่งหนึ่งใน จ.ลำพูน จำนวนกว่า 30 คน เข้าร้องตำรวจไซเบอร์ หรือ สอท. ช่วยเหลือให้ดำเนินคดีกับเจ้าของร้านทองดังกล่าวหลังประวิงเวลาการจ่ายเงินให้กับผู้เสียหายกว่า 100 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท

นายเอกภพ ระบุว่าจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่าร้านทองดังกล่าวมีตัวตนจริง เริ่มก่อตั้งบริษัทและชักชวนประชาชน เข้าร่วมลงทุนซื้อทองคำแท่งผ่านช่องทางออนไลน์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 โดยพบว่าปัจจุบันยังคงเปิดให้บริการอยู่แบบมีหน้าร้าน พฤติการณ์ของร้านทองแห่งนี้ไม่แตกต่างกับมิจฉาชีพกลุ่มอื่น โดยจะใช้วิธีการชักชวนลงทุนซื้อทองแบบเกร็งกำไรล่วงหน้า โดยจะจ่ายเงินปันผลทุก 30 วัน ในอัตราส่วน 25,000 ต่อ 4,500 บาทราคาทอง และจะได้กำไรขึ้นเรื่อย ๆตามราคาทองที่สูงขึ้น จากแผนการตลาดดังกล่าวซึ่งได้กำไรอย่างรวดเร็ว ทำให้มีประชาชนหลงเชื่อร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบางรายลงทุนไปจำนวนกว่า 2,000 บาททองคำ นอกจากนี้บางคนถึงขั้นลงทุนกู้ธนาคาร สหกรณ์มาเพื่อลงทุน ถึงขั้นบางรายยอมกู้เงินนอกระบบเพื่อนำมาร่วมลงทุน

ด้าน น.ส.เล็ก หนึ่งในผู้เสียหายกล่าวว่า ตนเริ่มลงทุนครั้งแรกในเดือนมีนาคมปี 2564 ด้วยทองคำจำนวน 1 บาท และได้รับเงินปันผลเดือนเมษายน 2564 จำนวน 3,000 กว่าบาท โดยถูกหักค่าธรรมเนียมและค่าฝากไปอีกจำนวนกว่า 1,000 บาท หลังเห็นว่าได้รับเงินจริงจึงเพิ่มจำนวนการลงทุนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อยอดเงินลงทุนรวมกว่า 18 ล้านบาท ในเดือนสิงหาคม 2565 ปรากฏว่าทางร้านทองก็หยุดจ่ายเงินปันผลกำไร โดยอ้างว่าเงินทองคำ ที่ทางร้านลงทุนไปติดดอยไม่สามารถเบิกถอนออกมาขายนำเงินออกมาปันผลให้กับผู้เสียหายได้ หลังจากนั้นทางร้านพยายามที่จะบ่ายเบี่ยงการจ่ายเงินเรื่อยมาสร้างความเสียหายให้กับผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดจากการรวบรวมผู้เสียหายจากเคสนี้ มีจำนวนมากกว่า 100 คน จึงรวมตัวกันเพื่อไปแจ้งความดำเนินคดี แต่ทางร้านบอกว่าหากใคร แจ้งความดำเนินคดีจะถือเป็นการทำลายชื่อเสียงบริษัทจะไม่คืนแม้แต่บาทเดียว หากผู้ที่ร่วมลงทุนไปแล้วต้องการเงินคืนเพราะขาดความเชื่อมั่น  ให้ไปแสดงความจำนงลงชื่อกับทางร้าน ซึ่งทางเจ้าของร้านได้ไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง โดยระบุในบันทึกประจำวันว่าจะจ่ายเงินทุนคืนให้กับผู้เสียหายทั้งหมดในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ดังนั้นหากใครไปดำเนินคดีก่อนก็จะถือว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงของบริษัทและจะไม่จ่ายเงินคืนแม้แต่บาทเดียว

แต่ปัจจุบันเลยกำหนดระยะเวลาที่ทางร้านระบุไว้ หลังครบกำหนดพวกตนได้ทวงถามไปอีกรอบ แต่ทางร้านยังคงเงียบไม่มีคำตอบให้ จึงต้องมาร้องขอความช่วยเหลือจากสายไหมต้องรอด เพื่อเป็นสื่อกลาง

ด้านพล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผู้บังคับการ สอท. 2 กล่าวว่า หลังได้รับการประสานจากทีมสายไหมต้องรอด ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูง ได้สั่งการให้ตนมารับเรื่องทำการสอบปากคำผู้เสียหายที่เดินทางมาทั้งหมดในวันนี้ เพื่อตรวจสอบข้อมูลและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำไปตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ฉ้อโกงประชาชน หรือไม่ หรือเข้าข่ายการชักชวนการลงทุนแชร์ลูกโซ่หรือไม่ หากพบว่าเข้าข่ายความผิดใดก็จะมีการดำเรินการตามขั้นตอนของกฏหมายต่อไป

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส