"บิ๊กโจ๊ก" รับให้เงินสื่อจริง แต่เป็นการให้ค่าข้าวค่าน้ำมัน

27 ก.ย. 66

"บิ๊กโจ๊ก" ตั้งทนายอนันต์ชัย ดูเเลคดี ทั้งของตัวเองเเละลูกน้องที่โดนหมายจับ ยืนยันรู้ตัวคนสั่งการ เเต่ไม่คิดเอาคืน เพราะไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง พร้อมรับให้เงินสื่อจริง แต่เป็นการให้ค่าข้าว ค่าน้ำมัน

วันนี้ (27 ก.ย.66) พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาที่สโมสรตำรวจ เพื่อพบกับทนายอนันต์ชัย และแถลงเปิดตัวทนายความ โดยพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้เรื่องการบริหารจัดการคดีทั้งหมดจะมอบหมายทนายอนันต์ชัย และจะให้เข้ามาบริหารจัดการคดีทั้งหมด เวลาสื่อมีอะไรเรื่องคดีจะได้ถามอนันต์ชัย เพื่อให้เป็นทิศทางเดียวกัน ส่วนลูกน้องของตนหลังได้รับการประกันตัวออกมาเมื่อวาน 4-5 ทุ่มแล้วตนเองยังไม่ได้คุย และจะไปคุยกับลูกน้องวันนี้

สิ่งที่ตนเองดำเนินการทางกฎหมาย ไปเมื่อช่วงเช้า คือได้ให้ทนายความไปยื่นคำร้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ให้ไต่สวนละเมิดอำนาจศาลกรณีการขอหมายจับ ตำรวจ ในฐานะตำรวจด้วยกันต้องไปขอที่ศาลอาญาทุจริตเท่านั้น แต่เมื่อไปศาลอาญาทุจริตมีขั้นตอนละเอียด เพราะต้องแจ้งยศ และเมื่อแจ้งยศศาลจะไม่ออกหมายจับให้ จะออกหมายเรียก แต่เมื่อมีพลเรือนอยู่ด้วยก็ต้องไปศาลอาญาทุจริตอยู่ดี แต่กรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นการหมกเม็ด และกรณีนี้ไม่ใส่ยศ เป็นการสอดไส้ จึงถือเป็นการไปหลอกศาลอาญากรุงเทพใต้ และไปหลอกศาลอาญารัชดา

อย่างหมายจับสารวัตรนนท์ ออกหมายจับวันศุกร์ หมายค้นตนเองออกวันอาทิตย์ ซึ่งสารวัตรนนท์ ไม่ได้นอนบ้านตัวเอง พักอยู่แฟลตตำรวจพญาไท และทำไมไม่จับสารวัตรนนท์ ตั้งแต่ศุกร์ วันเสาร์ทำไมมาจับที่บ้านตนเองวันจันทร์ ก็เพราะรู้อยู่แล้วว่า สารวัตรนนท์อยู่บ้านตนเองในตอนเช้า รู้อยู่แล้วว่าตอนเช้าสารวัตรนนท์ ต้องมารับตนเองและมาส่งกลับทุกวัน และรู้อยู่แล้วว่าสารวัตรนนท์ไม่ได้นอนที่นี่ ไม่งั้นก็คงมาจับไปตั้งแต่วันศุกร์แล้วโดยมองว่า เรื่องนี้ เป็นการแบ่งงานกันทำ เป็นตัวการร่วม และเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงให้ศาล

ทางพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังบอกอีกว่า วันนี้ไม่ใช่ยุค คสช. แต่ กรรมการสิทธิมนุษยชนต้องออกมา อำนาจสอบสวนจะอยู่กับตำรวจหรือไม่ วันนี้ยังมีตำรวจดี ๆ อีกเยอะที่ต่อสู้มาให้

ส่วนกระแสข่าวที่มีสื่อมวลชนบางคนกำลังจะถูกดำเนินคดีเพราะมีชื่อมาพัวพันกับเงินในบัญชีม้า ส่วนตัวตนเองยอมรับว่ามีการให้เงินสื่อจริง แต่ยืนยันว่าเงินส่วนนี้ไม่ใช่เงินผิดกฎหมายและไม่ได้มาจากเว็บการพนัน และที่ให้เป็นการให้เงินไปกินข้าว เนื่องจากสื่อบางคนร่วมทำข่าวกับตนมาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำกับที่หาดใหญ่ อย่างเวลาที่ไปทำข่าวร่วมกันหลาย ๆ วัน ก็มีให้เงินไปจำนวน 10,000 บาท เพื่อให้ไปทานข้าว ซึ่งเงินเหล่านี้เป็นเพียงสินน้ำใจเท่านั้น ไม่ใช่เงินที่ให้เพราะติดสินบน เพราะสื่อเองก็มีเงินเดือนจากสถานี

ยกกรณีตัวอย่างทั้งตำรวจและประชาชนที่มาขอความช่วยเหลือที่สโมสรตำรวจ ตนเองก็มีการใช้เงินส่วนตัวเพื่อนำมาเลี้ยงข้าวทั้งสามมื้อ ซึ่งนี่ก็เป็นสินน้ำใจด้วยเช่นกัน ดังนั้นขอยืนยันว่าการให้เงินสื่อที่มาร่วมติดตามทำข่าวไปกินข้าว ไม่ใช่เงินที่ให้เพื่อเป็นการติดสินบน

ซึ่งประเด็นนี้ทางทนายอนันต์ชัย ก็ฝากไปถึงสื่อที่อาจจะถูกดำเนินคดีหรืออาจจะมีหมายเรียกให้มาสอบปากคำ สามารถมาบอกกับตนได้ซึ่งตนจะให้การช่วยเหลือจนถึงที่สุด

นักข่าวถามว่าจะมีการเอาคืนหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ยังไม่อยากทุบหม้อข้าวตนเอง ถ้าหากเปิดเมื่อไหร่ก็ตายทั้ง สตช. และจะอยู่กันลำบาก อยากให้ตำรวจน้อง ๆ มีทางเดินบ้าง ย้ำตนเองทำงานสืบสวนมาทั้งชีวิต และถนัดไล่เส้นทางการเงิน ท้าดูคดีเก่า ๆ ยึดทรัพย์มาเท่าไหร่แล้ว 

นอกจากนี้ผู้กำกับในทีมตนอีกคนโทรหา บอกมีคนเรียกไปอธิบายสเตทเม้นต์ จึงตั้งคำถามว่าทำไมคราวนี้เรียกไปสอบ ไม่ออกหมายจับเลย มันคือ 2 มาตรฐาน ถ้าเป็นตนเองจะเรียกมาชี้แจงก่อน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังชี้แจงประเด็นเฮียแต๋มที่เป็นเจ้าของบ้าน รู้จักกันตั้งแต่ตนเองเป็นสารวัตร นับถือเป็นญาติผู้ใหญ่ เมื่อก่อนตนเองอยู่แฟลตตำรวจจรเป็นผู้การ 191 จากนั้นออกมาอยู่บ้านก็สร้างไม่ทัน เพราะพ่อตายกที่ดินให้ 10 ไร่ที่พุทธมณฑลสาย 7 แต่เรายังไม่ทัน เลยไปหาเช่า เฮียแต๋มบอกมีบ้านที่นี่ เห็นว่าใกล้แฟลต เลยเช่าเดือนละ 5 หมื่น อยู่ 2 หลัง ค่าน้ำไฟจ่ายเอง ส่วนอีก 2 หลังใช้เก็บของ เฝ้าไว้ให้เฮีย และอีกหลังว่างไว้ ช่วงพ่อป่วยขอให้พ่อมาอยู่ที่นี่ จ้าง รพ.วิชัยยุทธ มาดูแล พอพ่อเสียก็ว่าง

ขณะที่ทนายอนันต์ชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นเรื่องนักข่าวว่า การให้เงินดังกล่าวไม่ได้ถือว่าเป็นสินบน แต่เรียกว่าเป็นสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำ ถือเป็นเรื่องปกติ เวลาที่ตนไปจัดสถานที่ให้สัมภาษณ์ ก็มีการจัดอาหารจัดกาแฟเตรียมเอาไว้ให้ เป็นความสมานฉันท์ที่ดี ขอถามว่านักข่าวผิดข้อหาอะไร ดังนั้น หากนักข่าวคนใดถูกดำเนินคดี ให้บอกมา ตนจะช่วยเหลือ

นอกจากนี้ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยังออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้รับเอกสารจาก ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช เรื่องข้อบังคับของประธานศาลฎีกากรณีการออกหมายค้น ว่า 1.จะต้องระบุลักษณะสิ่งของที่ต้องการหาหรือยึด หรือชื่อตัว ชื่อสกุล รูปพรรณ อายุของบุคคลที่ต้องการหา และสถานที่ที่จะค้น ระบุบ้านเลขที่ ชื่อตัว ชื่อสกุล และสถานะเจ้าของหรือผู้ครอบครองเท่าที่ทราบ ไม่สามารถระบุบ้านเลขที่ที่จะค้นได้ ให้ทำแผนที่ของสถานที่ที่จะค้น และบริเวณใกล้เคียงแทน  2. ต้องระบุเหตุที่จะออกหมายค้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 69 พร้อมทั้งสำเนาเอกสาร ซึ่งสนับสนุนเหตุแห่งการออกหมายค้น  3. แนบแบบพิมพ์หมายค้นที่กรอกข้อความครบถ้วนเเล้วพร้อมสำเนา รวมทั้งเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่นบันทึกคำร้องทุกข์ หนังสือมอบอำนาจให้รองทุกข์ เป็นต้น มาท้ายคำร้อง

แต่หมายค้นดังกล่าวกลับมีเพียงแค่บ้านเลขที่ ไม่ได้ระบุชื่อเจ้าของบ้านและรายละเอียดต่างๆข้างต้นแต่อย่างใด ดังนั้นหลังจากนี้จะต้องไปเบิกความสู้กันในชั้นศาล ข้อเท็จจริงก็จะต้องปรากฏ

เเต่ตนก็รู้สึกเป็นห่วง "กลัวลูกน้องจะเดือดร้อน เพราะคนที่ออกข่าวโชว์ออฟ ไม่ได้เป็นคนไปขอหมาย พวกลูกเล็กเด็กแดงมันจะเดือดร้อน"

ส่วนกรณีผู้การนำเกียรติ ที่เดินทางเข้ามาที่สโมสรตำรวจนั้น เพียงแค่มาเคลียร์คดีที่ทำอยู่เท่านั้น ไม่ได้มาพูดคุยเรื่องคดีที่โดนออกหมายจับแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าเขาจะถูกออกหมายจับ ตกเป็นผู้ต้องหาแล้ว แต่ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินถือว่าเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ และสามารถปฏิบัติงานได้อยู่

โดยช่วงท้าย พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยืนยันว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้ ตนเองยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด เพราะเชื่อว่า พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติพัฒน์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คงจะรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบแล้ว

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส