หลานเล่าผัวเมียโบกปูนไปหัวเราะไป จ้าง30 บาทตัดต้นสะเดาทำเสาล้อมหลุม

21 ก.ย. 66

หลานสุนันเล่าผัวเมียโบกปูนไปหัวเราะไป จ้าง 30 บาทให้ไปตัดต้นสะเดามาทำเสาล้อมหลุม แถมให้ถ่ายรูปรีเช็กความเรียบร้อย เผยสุนันคบกับส่องศักดิ์ มักแอบร้องไห้อย่างทรมานในห้องของบ้านฝังศพครั้งละ 3-4 ชั่วโมง

 

ความคืบหน้ากรณีนายส่องศักดิ์ หรือไอ้เอ็ม และ นางสุนัน หรือ จุ๋ม พ่อแม่ใจโหดที่ฆ่าน้องโมเดล ลูกวัย 2 ขวบ แล้วเอาร่างไปฝังดินและโบกปูนทับ จนตำรวจตามรวบตัวได้ ก่อนที่จะมีข้อมูลว่านายเอ็มได้ฆ่าลูกกับภรรยาอีกคนไป 4 ศพ

วันนี้ 21 กันยายน 2566 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีมีโอกาสได้คุยกับหลานชายที่ “นางสาวสุนัน” เลี้ยงดูเหมือนลูกมาตั้งแต่เด็ก เพราะแม่ของน้องซึ่งเป็นพี่สาวของ “นางสาวสุนัน” ได้เสียชีวิตไป

เจ้าตัวเล่าให้ทีมข่าวฟังว่าช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม 2566 “นางสาวสุนัน” กับ “นายส่องศักดิ์” ขับรถเก๋งกลับมาที่บ้านแล้วบอกกับตนว่าจะเอา “น้องโมเดล” มาอยู่ที่บ้านประมาณ 4-5 วัน และยังบอกอีกว่าจะย้ายมาทำงานที่ จ.นครสวรรค์ แล้วจะเอา “น้องโมเดล” กับ “น้องมิ้นท์” มาเรียนที่ จ.กำแพงเพชรด้วย แต่ตอนนั้นตนไม่เห็นเด็กทั้ง 2 คนเลยสักนิด

วันแรกที่มาอยู่ที่บ้านพบศพ ตนเห็นว่าทั้งคู่ซื้อปูนกลับมา แล้วก็เริ่มฉาบปูนที่บริเวณพื้นครัวหลังบ้านหรือที่ฝังศพ ระหว่างนั้นขณะที่ตนเดินผ่าน สังเกตเห็นว่า “นายส่องศักดิ์” ที่ยืนอยู่จุดฝังศพแสดงพฤติกรรมแปลกๆคล้ายคนสติไม่ดี คือส่ายหน้าไปส่ายหน้ามา แล้วก็ยิ้ม หัวเราะอยู่กับ “นางสุนัน” ที่กำลังนั่งโบกปูนอยู่ที่พื้น เหมือนว่ากลบเกลื่อนความผิดที่กำลังกระทำร่วมกันอยู่

จังหวะนั้น “นายส่องศักดิ์” เหลือบมาเห็นตน จึงตะโกนบอกให้ตนไปตัดต้นสะเดามาให้ แลกกับจะให้เงินกินขนม 30 บาท แต่ขณะที่พูดนั้นไม่หันมามองหน้า ตนก็เลยรับเงินแล้วไปตัดต้นสะเดาที่หลังบ้านมาให้ 1 ต้น โดย “นายส่องศักดิ์” เอาต้นสะเดามาตัดออกเป็น 2 ท่อน ท่อนละสูงประมาณ 150 ซม. เพื่อใช้ทำเป็นเสาเสริมล้อมครัวที่ฟังศพ และเอาสังกะสีที่มีไปมุงเป็นหลังคา

หลังจากเอาต้นสะเดาให้เสร็จ ตนก็บอกว่าจะกลับบ้าน แต่ “นางสาวสุนัน” ไม่ให้กลับ บอกกับตนว่า “อยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน” สลับกับก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ ซึ่งตนมองว่ามันแปลกๆมาก เพราะตอนนั้นตนพยายามขอกลับบ้าน 4 รอบ แต่ “นางสุนัน” ก็ไม่ยอมให้กลับ คาดว่าคงกลัวถ้าอยู่เพียงลำพังจะโดน “นายส่องศักดิ์” ทำร้ายหรือเปล่า จนกระทั่งทั้งคู่ขับรถออกไปข้างนอก ตนถึงได้กลับบ้านและในวันแรกก็ไม่ได้เข้าไปดูในจุดที่มีการโบกปูน

ต่อมาในคืนนั้น ก็มีชาวบ้านเห็นว่าทั้งคู่เปิดแฟลชโทรศัพท์แล้วส่องไปที่พื้นบริเวณครัวที่ฝังศพ ส่องไปส่องมาอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลับเข้าไปในบ้าน พอตอนเช้ามาตนจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูในครัว ก็ยอมรับว่าเห็นร่องรอยของการโบกปูนจริงๆ และตอนนั้นปูนยังไม่แห้งด้วย แต่ในหัวคือไม่คิดเลยว่าด้านล่างนั้นจะเป็นร่างของ “น้องโมเดล” ที่โดนฆ่าโบกปูนไว้

หลังจากนั้นเมื่อทั้งคู่กลับกรุงเทพไปประมาณ 2-3 วัน ก็ส่งข้อความาบอกให้ตนกับพี่สาวเข้าไปถ่ายรูปตรงที่โบกปูนให้ แล้วก็โทรมาถามว่าปูนแห้งดีไหม มีรอยรั่วตรงไหนบ้าง ตนเข้าไปเดินดู พบว่าปูนแห้งดีแล้ว ไม่มีรอยรั่ว ก็เลยถ่ายรูปส่งไปให้ดูทางไลน์ แต่หลักฐานตรงนี้อยู่ในโทรศัพท์เครื่องเก่าที่พังไปแล้ว แช็ตจึงหายไป

แล้วผ่านไปสักประมาณ 2 เดือนหรือเดือนสิงหาคม 2566 ทั้งคู่ขนของกลับมาเก็บไว้ที่บ้าน ซึ่งตนก็ดีใจเพราะจะได้อยู่กับน้องๆ แต่กลายเป็นว่าพอเอาของเก็บเสร็จทั้งคู่ก็กลับออกไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย จนกระทั่งเรื่องแดงขึ้นมาว่ามีการฆ่าโบกปูน “น้องโมเดล” ไว้ที่พื้นครัวหลังบ้าน

นอกจากนี้หลานยังเล่าอีกว่าตอนแรกๆที่ “นายส่องศักดิ์” คบหากับ “นางสาวสุนัน” ฝ่ายชายก็ดูเป็นคนดี ซื้อขนมซื้อของเล่นมาให้ตนตลอด ก็บอกกับทั้งคู่ไปว่า “ผมอยากมีน้อง” เขาก็มีลูกคนแรกคือ “น้องมิ้นท์” ให้ หลังจากนั้นพอคนแรกโต ตนก็บอกว่าอยากมีน้องอีกคน เขาก็มี “น้องโมเดล” ให้อีก แต่ก่อนจะคลอด “น้องโมเดล” “นายส่องศักดิ์” เคยบอกกับตนว่า “ถ้าคลอดออกมาแล้วเป็นเด็กผู้ชาย จะไม่เอาจะกลับกรุงเทพ” ทั้งๆที่เขารู้อยู่แล้วว่าเด็กในครรภ์เป็นผู้หญิง เช่นเดียวกับตอนที่จะคลอด “น้องโตโต้” เขาก็พูดคล้ายกันคือ “ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง จะไม่เอานะ” ทั้งๆที่เขารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย

ซึ่งตนมองว่าคำพูดเหล่านี้ของ “นายส่องศักดิ์” เหมือนจะสื่อว่าต่อให้เด็กออกมาเป็นเพศไหนก็จะไม่เลี้ยงดูอยู่ดี เพราะสุดท้ายแล้วหลังคลอดลูกทั้ง 3 คน เขาก็เอาให้ยายเลี้ยงหมด แล้วจะมาเอาไปเลี้ยงตอนโตที่กรุงเทพฯ อย่าง “น้องโมเดล” ก็เข้ามาเอาไปหลังจากคลอด “น้องโตโต้” ทันที

แต่พอผ่านไปสัก 1 ปี “นางสาวสุนัน” ไปอยู่กับ “นายส่องศักดิ์” ที่กรุงเทพฯ ร่างกายก็เริ่มซูบผอม มีรอยเขียวช้ำตามใบหน้า ไม่ค่อยกลับมาบ้าน อ้างว่าไม่มีเงิน และพอกลับมาก็เริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆคือเวลาอยู่คนเดียว “นางสาวสุนัน” จะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอน ภายในบ้านที่ฝังศพ แล้วก็ร้องไห้ทรมานเหมือนโดนผีเข้า ครั้งละ 3-4 ชั่วโมง ทั้งกลางวันและกลางคืน บ่อยครั้งที่ตนรู้สึกสงสาร จึงมักจะคอยไปแอบนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ เพราะกลัวว่าเขาจะทำร้ายตัวเอง แต่ก็ไม่เคยถามตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้น

หนักไปกว่านั้นคือช่วง 1 ปีให้หลังมานี้บ่อยครั้งที่ “นางสาวสุนัน” จะจุดธูปเป็นกำๆแล้วถือออกมาที่หลังบ้าน ซึ่งเป็นป่าและนั่งยองพร้อมสวดอะไรบางอย่างอยู่ประมาณ 10-15 นาที ก่อนจะปักธูปและเดินกลับเข้าห้องไป.

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส