“รัฐ – เอกชน” หวั่นประชานิยมหาเสียงขึ้นค่าแรง ทำเศรษฐกิจพัง

19 มี.ค. 66

 

ห่วงพรรคการเมืองขายฝันค่าแรงขั้นต่ำ หวั่นเศรษฐกิจพัง ย้ายฐานการผลิต พร้อมให้คำนึงถึงระบบประกันสังคม ชี้รัฐยังค้างจ่ายเงิน 5 หมื่นล้าน

วันที่ 19 มี.ค. 66 นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยในงานสัมมนาสาธารณะในประเด็นค่าแรงขั้นต่ำขายฝันแรงงานไทย ของหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ บสก.รุ่นที่ 11 ว่า พรรคการเมืองต่างใช้นโยบายประชานิยมหาเสียง ด้วยการชูประเด็นด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ส่วนตัวเห็นว่าเป็นนโยบายชวนเชื่อทางการตลาด แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งทำได้จริง เพราะการขึ้นค่าจ้างเป็นเรื่องของนายจ้าง เป็นเรื่องของภาคเอกชนที่เป็นผู้จ่าย ไม่ได้ใช้งบประมาณของพรรคการเมือง หรืองบจากภาครัฐแต่อย่างใด 

นายธนิต กล่าวต่อว่า หากค่าจ้างที่สูงขึ้นเกินจากความเป็นจริงจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ของการอุปโภคบริโภคทั้งหมด และสุดท้ายภาระจะตกอยู่กับผู้บริโภค ทั้งนี้ในฐานะนายจ้าง มองว่าค่าจ้างขั้นต่ำของไทยควรจะเป็นค่าจ้างที่ขึ้นเป็นอัตโนมัติ ตามอัตราเงินเฟ้อ และต้องไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง 

“รัฐ – เอกชน” หวั่นประชานิยมหาเสียงขึ้นค่าแรง ทำเศรษฐกิจพัง

“เป้าหมายคือนายจ้างลูกจ้างต้องอยู่ด้วยกันได้เหมือนปาท่องโก๋ ดังนั้นการขึ้นค่าจ้าง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององค์กรไตรภาคี ที่ทำกันมาแล้วกว่า 30 ปี การเมืองอย่าเข้ามาแทรกแซงทำลายต้นทุนของชาติ และประชาชนชนก็ต้องรู้เท่าทัน ว่าพรรคการเมืองต่างๆ ใช้การตลาด 100 % เพื่อให้ได้เข้ามาในสภาฯ” นายธนิต กล่าว 

นายธนิต กล่าวว่า นอกจากนี้อยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ GEN Z ที่กำลังหางานทำสิ่งที่ต้องมีคือทักษะด้านภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานต้องมี บุคลิกภาพที่ดีแต่งกายที่เหมาะสมมีการเตรียมข้อมูลก่อนการสัมภาษณ์ และสุดท้ายอย่าเลือกงาน เพราะแม้ว่าเงินเดือนจะน้อยในตอนต้น แต่ประสบการทำงานจะทำให้เราสามารถเพิ่มค่าตอบแทนในอนาคตได้

“รัฐ – เอกชน” หวั่นประชานิยมหาเสียงขึ้นค่าแรง ทำเศรษฐกิจพัง

ด้านนายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ที่ปรึกษาฝ่ายการวิจัยนโยบายทรัพยากรมนุษย์ TDRI กล่าวถึงนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองว่า การหาเสียงด้วยการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้ค่าจ้างไม่เป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจ และทำให้ต้นทุนสูงการผลิตของประเทศสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อพรรคการเมืองนำค่าจ้างมาเป็นนโยบายในการหาเสียงจะเป็นอันตรายต่อประเทศ  เพราะกกต.กำหนดเอาไว้ว่า นโยบายที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วจะต้องทำจริง ทำให้นายจ้างได้รับผลกระทบ และจากนี้ไปมองว่ารัฐบาลไม่ได้อยู่ยาวเหมือนในอดีต

ซึ่งมีความเป็นไปได้ได้ว่านโยบายค่าแรงจะเปลี่ยนทุก 2 ปี ทั้งนี้ขอฝากไปยังพรรคการเมืองว่า ควรทำให้ค่าจ้างเป็นไปตามกลไกไตรภาคี เพราะถ้ามีการแทรกแซงจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบ

“รัฐ – เอกชน” หวั่นประชานิยมหาเสียงขึ้นค่าแรง ทำเศรษฐกิจพัง

ด้านนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย  กล่าวว่า ปัจจุบันค่าแรงไม่เพียงต่อการใช้จ่ายของแรงงาน ดังนั้น ควรมาไปดูที่โครงสร้างมากกว่าการกำหนดเรื่องของตัวเลขอย่างเดียว ควรมาหารือกันว่าค่าจ้างเท่าไหร่ที่แรงงานอยู่ได้ อยู่ได้ปัจจุบันเป็นเท่าไหร่  อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณทุกพรรคที่พยายามเสนอนโยบายค่าแรง แต่ทางปฏิบัติพูดแล้วต้องทำ และต้องทำให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่านโยบายค่าแรงบางยุคไปไม่ถึงจุดที่หาเสียงเอาไว้

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม