ส่อโอละพ่อ! ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ยันไม่มีรีดเงินสาวไต้หวัน เช็ควงจรปิดแล้ว

26 ม.ค. 66

กรณีสาวชาวไต้หวัน อ้างถูก ตร.ไทยค้นตัว เรียกเงิน 27,000 บาท จนปล่อยตัว ซึ่งต่อมา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว หากพบเจ้าหน้าที่กระทำจริง ดำเนินคดีเอาผิดทันที (อ่านข่าวเก่า งามไส้! ดาราสาวชาวไต้หวัน แฉถูกตำรวจไทยค้นตัวไถเงิน 27,000 บาท ขณะมาเที่ยวปีใหม่)

ล่าสุด พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เรียกตำรวจ สน.ห้วยขวาง 6 นาย ซึ่งมีตั้งแต่ระดับนายสิบ ถึงนายร้อย ที่ปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านป้องกันเหตุอาชญากรรมคืนวันที่ 4 มกราคม 2566 มาชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่องที่ ดาราสาวชาวไต้หวัน อ้างว่าถูกตำรวจประจำด่านดังกล่าวรีดไถเงิน 27,000 บาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัวเป็นอิสระ โดยใช้เวลาอยู่นานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนเปิดเผยว่า

เบื้องต้นได้รับการยืนยันว่า เป็นการเรียกตรวจตามมาตรการป้องกันเหตุอาชญากรรมเนื่องในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีการกำหนดให้ตั้งด่านตรวจในจุดต่าง ๆ เป็นวงรอบ กระทั่งช่วงประมาณตี 1 ตำรวจพบรถแท็กซี่รับจ้าง พาผู้โดยสารนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหนึ่งซึ่งมีทั้งชายและหญิงผ่านเส้นทางมา จึงเรียกจอดรถเข้าข้างทางเพื่อตรวจดูสิ่งผิดกฎหมาย และพบดาราสาวอยู่ภายในรถ สภาพมึนเมา แต่ด้วยเพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวสื่อสารด้วยภาษาจีน และตำรวจกลุ่มนี้สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ประกอบท่าทาง จึงสื่อสารกันค่อนข้างยาก เมื่อมีการเรียกขอตรวจดูหนังสือเดินทาง ดาราสาวอ้างว่าไม่อยู่กับตัว แต่จะโทรเรียกให้เพื่อนนำมาแสดง แต่จนเวลาผ่านไปนานก็ไม่มีใครนำมาแสดง ประกอบกับต่างฝ่ายต่างพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง จึงมีอารมณ์หงุดหงิดใส่กัน ระหว่างนั้นก็มีการขอให้เปิดกระเป๋าเพื่อตรวจดูสิ่งผิดกฎหมาย แต่ไม่พบว่าภายในมีสิ่งผิดกฎหมายอะไร เว้นแต่บุหรี่ไฟฟ้าในมือของดาราสาว จึงว่ากล่าวตักเตือนว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายในไทย ให้ระวัง ก่อนที่จะหมดเวลาตั้งด่านในจุดนี้ ต้องเปลี่ยนจุดตั้งด่าน จึงปล่อยตัวดาราสาวกับกลุ่มเพื่อนไปโดยไม่มีการดำเนินคดี และไม่มีการเรียกรับเงินตามที่มีการอ้างถึงแต่อย่างใด

ซึ่งคำให้การนี้ ก็สอดคล้องกับการตรวจสอบภาพวงจรปิดทางข้าง โดยกล้องของทางกรุงเทพมหานคร พบรถคันที่ตรงกับดาราสาวโดยสารมา ขับเข้าไปจอดเทียบในด่าน จากนั้นก็มีการจอดข้างทางเดินเท้า มีเจ้าหน้าที่เข้าไปพูดคุย ตลอดการสนทนานานกว่า 1 ชั่วโมง ไม่พบมีการพาตัวบุคคลใดเข้าไปในซอยเปลี่ยว หรือออกจากด่าน

อย่างไรก็ตามยังต้องมีการติดตามตัวพยานที่เป็นคนขับรถแท็กซี่ มาให้การยืนยันเรื่องนี้ รวมถึงผลการตรวจสอบพยานแวดล้อมอื่น ๆ เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง อีกครั้ง ส่วนจะเป็นการดิสเครดิตการท่องเที่ยวของไทย หรือสร้างคอนเทนต์เพื่อเรียกกระแสหรือไม่ ไม่สามารถให้คำตอบได้ตอนนี้ รวมถึงเรื่องการเอาผิดทางกฎหมาย เพราะต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อน

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส