จากกรณีหนุ่มชาวเชียงราย ร้องขอความเป็นธรรม หลังเป็นแพะติดคุกนานกว่า 6 ปี คดีข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เมียรับไม่ได้ หอบลูกหนีกลับบ้าน แต่ภายหลังผู้เสียหายสารภาพ ถูกพ่อเลี้ยงข่มขืน และบังคับให้ใส่ความนั้น
ล่าสุดวันที่ 23 มิ.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้พูดคุยกับ นายพิชญุตม์ สุกิจยา อายุ 43 ปี เป็นชาวบ้านในพื้นที่ ตำบลไม้ยา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย อดีตผู้ต้องหา ถูกศาลตัดสินจำคุกนาน 20 ปี แต่ติดจริง 6 ปี 1 เดือน ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา และได้รับอภัยโทษออกมาเมื่อปี 2564
แต่ต่อมาฝ่ายผู้กล่าวหาได้ให้ข้อมูลกับศูนย์ดำรงธรรม จังหวัดเชียงราย ว่านายพิชญุตม์ไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด จึงมาร้องขอความเป็นธรรม กับนายบันดิษฐ์ ปุระตา หรือ ทนายเบิ้ม เพราะชีวิตได้รับผลกระทบ หลังจากต้องติดคุก เมียก็พาลูกเก็บข้าวของหนีไม่สามารถติดต่อได้
โดยนายพิชญุตม์ เล่าถึงความเป็นมา ว่าเมื่อปี 2556 ขณะนั้นตนเองทำงานเป็นนักการภารโรงอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่จู่ ๆ ปรากฏว่ามีเด็กนักเรียนหญิงชั้น ป.6 อายุ 13 ปี เกิดตั้งท้อง อ้างว่าถูกตนเองข่มขืนขืน โดยตำรวจเชิญตนไปสอบปากคำเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.56 เด็กให้ปากคำกับสหวิชาชีพว่าถูกตนข่มขืน 2 ครั้ง รอบแรกวันที่ 22 มี.ค. รอบที่สองวันที่ 13 มิ.ย. สถานที่เกิดเหตุอยู่ในโรงฝึกงานของโรงเรียน ทางตำรวจได้แจ้งข้อหา "พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดา" และ "ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี" ซึ่งตนเองปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ประกันตัวสู้คดี โดยยื่นหลักทรัพย์เป็นที่ดินสวนลำไย 4 ไร่
ต่อมาเดือนเม.ย. 57 เด็กหญิงได้คลอดลูก ผลตรวจ DNA ไม่ตรงกับตนเอง จากนั้นเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 58 ศาลชั้นต้นตัดสิน สั่งจำคุก 20 ปี โดยศาลให้เหตุผลว่าถึงแม้ผลตรวจจะไม่ตรงกับจำเลย แต่มิได้หมายความว่าจำเลยจะไม่ได้กระทำ ศาลเชื่อคำให้การของเด็กที่ไม่ได้พูดความจริง ตนเองก็สู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์ กระทั่งวันที่ 4 ก.พ. 59 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยืนคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือจำคุก 20 ปี
ซึ่งตนต้องเข้าเรือนจำในวันดังกล่าว ความรู้สึกตอนนั้นเครียดมาก เพราะตนไม่ได้กระทำ เเต่ต้องมาติดคุก อีกทั้งชีวิตต้องพัง ชาวบ้านรังเกียจ ภรรยาหอบลูกชาย 5 ขวบ กับลูกสาว 7 ขวบ หนีไป ติดต่อไม่ได้ เพราะเชื่อว่าตนข่มขืนเด็ก นอกจากนี้ยังหมดเงินสู้คดีไปเยอะ โดยศาลชั้นต้นเสียค่าทนาย 30,000 บาท ส่วนศาลอุทธรณ์เสียค่าทนาย 20,000 บาท
จนกระทั่งเมื่อเดือน ต.ค. 62 แม่เขียนจดหมายมาบอกในเรือนจำว่าเด็กหญิงคนดังกล่าว ไปพูดกับชาวบ้านว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ คนที่ข่มขืนเด็กจนท้องคือพ่อเลี้ยง ตนเองก็เริ่มมีความหวัง พยายามเขียนจดหมายส่งถึงญาติ ให้ช่วยกันสู้คดี แม่ของตนได้เดินทางไปร้องศูนย์ดำรงธรรม จ.เชียงราย โดยพาตัวเด็กคนดังกล่าวไปด้วย เด็กก็เกิดความสำนึกผิด ได้เล่าความจริงทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ฟังว่าคนที่ข่มขืนคือพ่อเลี้ยง ตอนนั้นถูกพ่อเลี้ยงข่มขู่ว่าจะทำร้าย จึงไม่กล้าบอกความจริง ยนความผิดให้กับตนเอง ซึ่งตอนนั้นตนเองพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อจะพิสูจน์ตัวเอง แต่ก็ไร้ผล จนกระทั่งพ้นโทษเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 65 รวมติดคุก 6 ปี 1 เดือน จึงอยากขอความเป็นธรรม อยากให้ภรรยากับลูกกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม
ขณะที่นายบันดิษฐ์ ปุระตา หรือ ทนายเบิ้ม กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากครอบครัวก็เกิดความเห็นใจ จึงเข้ามาช่วยเหลือทางคดี ซึ่งคำให้การของเด็กที่เปลี่ยนคำให้การว่า นายพิชญุตม์ไม่ได้กระทำ แต่ผู้กระทำเป็นพ่อเลี้ยง สามารถนำหลักฐานตรงนี้ไปยื่นขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีได้ เพราะตอนที่ศาลพิพากษาจำคุกก็ยึดเฉพาะคำให้การของเด็ก ทั้งที่ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์
ดังนั้น ครั้งนี้ก็จะใช้คำให้การของเด็กในการดำเนินคดีเช่นกัน เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้กับนายพิชญุตม์ โดยทางตำรวจนัดให้ข้อมูลในวันที่ 1 ก.ค. นี้ ตนเองก็จะรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ก่อนจะยื่นขอศาลรื้อฟื้นคดี หากศาลพิจารณาว่าเป็นการเบิกความเท็จจริง ก็จะได้นำไปสู่กระบวนการเรียกร้องค่าชดเชยให้กับผู้ร้องที่ต้องติดคุกจากคดีดังกล่าว
ด้านนายศักดิ์ พ่อเลี้ยงของเด็กที่ถูกข่มขืน เปิดเผยว่า ตนได้ทราบเรื่องรางที่อีกฝ่ายพันโทษและกลับมาร้องเรียนว่าตนเป็นคนข่มขืน ห้องน้ำ ซึ่งตนยืนยันได้ว่าไม่เป็นความจริง แต่สาเหตุที่น้องน้ำกลับคำให้การและบอกว่าคนเป็นคนข่มขืน เป็นเพราะอีกฝ่ายมีการบังคับให้น้องน้ำพูด อ้างว่าไม่ยอมพูดจะถูกอุ้ม ซึ่งน้องน้ำเป็นคนที่สมาธิสั้น บกพร่องทางการเรียนรู้ ทำให้ถูกชักจูงได้ง่าย และตนยืนยันว่า
เรื่องทั้งหมดนั้นตนถูกใส่ร้าย ตนได้ไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้แล้ว
ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่า ตนเป็นโรคที่สังคมรังเกียจ และถ้าตนเป็นคนข่มขืนจริง เหตุใดที่ลูกสาวของน้องน้ำนั้นถึงไม่ติดเชื้อด้วย เชื่อว่าเหตุผลที่เขาฟ้องเพราะต้องการที่จะได้เงิน เพราะตอนที่เขาตกเป็นผู้ต้องหาคดีข่มขืน เขาสูญเสียทุกอย่างทั้งเมียทิ้ง และไม่มีใครอยากคบหาด้วย ซึ่งตนคิดว่าเขาน่าจะทำแบบนี้เพราะจะหาข้ออ้างในการกลับไปคืนดีกับเมีย อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ดำเนินคดีกันตนไม่ได้ถูกพาดพิงถึง จึงไม่มีการตรวจ DNA ของตน แต่ถ้าจะมาตรวจ DNA ตอนนี้ ตนก็ยินดีที่จะให้ตรวจเพื่อพิสูจน์ความจริง
