ล่าหลานคลั่งยา! น้ำคลองสาดยาย - ตบเด็ก เพื่อนบ้านแฉทวงของเจอกระถางทุ่ม เซ็งต้องออกข่าวถึงจับ (คลิป)

กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอที่ผู้เป็นแม่วัย 76 ปี ถูกหลานชายคลั่งยาเสพติดทำร้ายด้วยการสาดน้ำใส่ พร้อมกับตะโดนด่าสารพัด ทั้ง ๆ ที่ยายก็เดินลำบาก ข้อเข่าไม่ดี โดยระบุข้อความสะเทือนใจ ดังต่อไปนี้ 

"#กราบวิงวอนช่วยกันแช์เอาให้ถึงสื่อทีค่ะ คนแบบนี้อยู่ไปก็อันตราย ในเมื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็แล้ว แจ้งร้องเรียนบรรดาผู้ใหญ่บ้านก็แล้ว แต่ได้แค่มาตักเตือน พอผ่านไปไม่กี่วันแม่กูก็ต้องโดนไอ้หลานทำกับแม่กูแบบนี้ตลอดเวลา เก่งกับเด็กคนแก่ เพราะทุกทีที่มันทำกูไม่เคยมีหลักฐาน แม่กูโดนทำร้ายร่างกายมาตลอด #โดนปาหินใส่บ้าง #ผลักให้ล้มบ้าง #โดนสายไฟฟาดมั้ง และก็ถึงกับจะเอาไม้ลูกชิ้นจิ้มตา กะจะให้ตาแม่กูบอด ที่สำคัญวันนี้เลยคือเห็นกับตาตัวเอง และก่อนหน้านี้ลูกชายเราก็เพิ่งจะโดนมันทำร้ายร่างกายเหมือนกัน #ฝากถึงสื่อทุกสื่อช่วยแม่เราด้วยค่ะ"

ล่าสุดวันที่ 28 ธ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุ ต.บางรักใหญ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เป็นบ้านไม้เก่า ๆ ชั้นเดียว ตั้งอยู่ริมคลองอ้อมนนท์ จึงได้พบกับนางมาลี เป้าปาน อายุ 76 ปี ยายที่ถูกหลานคลั่งยาสาดน้ำใส่ กล่าวว่า ตนป่วยหลายโรคทั้งเบาหวาน ความดัน หูไม่ค่อยได้ยิน ตาไม่ค่อยดี ข้อเข่าอักเสบ ปกติมีอาชีพขายขนมสัมปันนี มีรายได้รอบละ 500-600 บาท เดือนละ 1-2 รอบ

สำหรับเหตุการณ์ที่ปรากฎในคลิป เกิดขึ้นช่วงเช้าของวันที่ 27 ธันวาคม 64 ขณะที่ตนกำลังทำขนมอยู่หน้าบ้าน แล้วผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นหลานของตนชื่อ นายอนุชา หล่มสัก หรือ อ้น อายุ 38 ปี พักอาศัยอยู่บ้านติดกัน จู่ ๆก็อาละวาดทำลายข้าวของและรถเข็นใส่ขนม พร้อมกับตะโกนด่าโวยวาย กล่าวหาว่าหลานชายอีกคน นายนิมิตร กิ่งลูกอินทร์ หรือ น้องตังค์ อายุ 18 ปี ขโมยแบตเตอรี่สำรองของเขาไป แล้วอยากได้คืน ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วก็วางอยู่ที่โต๊ะหลังบ้าน 

จากนั้นชาวบ้านก็เป็นห่วงความปลอดภัยของน้องตังค์ จึงเรียกให้น้องออกจากบ้านไป ทำให้นายอ้น มาหาเรื่องตนด้วยการนำน้ำในคลองสาดใส่ ขณะที่ตนกำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้าน เพราะตนไม่เถียง ไม่พูด ไม่โต้ตอบอะไร ซึ่งคลิปนี้เป็นวินาทีที่ น้องเอแคร์ อายุ 11 ขวบ หลานสาวคนเล็กของตนถ่ายคลิปไว้ และส่งไปให้ลูกสาวดู แล้วลูกสาวก็นำคลิปไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก เพราะทนพฤติกรรมของนายอ้นไม่ไหว

"ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายอ้นทำร้ายยาย ก่อนหน้านี้ทั้งทุบตี ทั้งผลักไปโดนราวเหล็กจนเกือบจะตกคลอง ตะคอกด่าโดยไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะช่วงที่อยากยาบ้า ก็จะยิ่งทวีคูณความรุนแรง มีดพร้า มีดดาบ มีดครัว ทุบตีฝาผนังจนเป็นรู ทั้ง ๆ ที่เวลาหิวข้าวเขาก็มักจะมาขอข้าวกินตลอด แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง เพราะกลัวจะได้รับอันตราย" ยายมาลี กล่าว 

อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่าน้อยใจกับพฤติกรรมของหลานคนนี้มาก ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ ตนต้องทนแม้จะเจ็บใจ เพราะกลัวว่าจะสวนกลับ และถ้าถามว่าโดนขนาดนี้แล้วยังรักไหม ตอบเลยว่าไม่เคยรักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเขาชอบด่าว่า “อีแก่ขี้โกง” เนื่องจากในอดีตตนเคยแบ่งที่ดิน 5 ไร่ ให้กับลูก 6 คนเท่า ๆ กัน แล้วแม่ของนายอ้น ก็เอาที่ดินส่วนที่ได้ไปขาย ได้เงินมาจำนวนหนึ่ง สุดท้ายพอแม่เสียชีวิตเงินส่วนนั้นก็ไปอยู่ที่พ่อของนายอ้น แต่นายอ้น คิดว่าตนเอาไป คิดว่าตนไม่ให้ที่ดิน ก็เลยมาด่าตนว่า "อีแก่ขี้โกง"

ที่ผ่านมาทุก ๆ ครั้งที่ตนโดนด่า โดนทำร้าย ตนไม่เคยเสียน้ำตา เพราะเมื่อไรที่รู้สึกอยากจะร้องไห้ จะแก้ปัญหาด้วยการกินกาแฟ 3-4 แก้วเพื่อเติมพลังให้ตัวเอง แล้วดำเนินชีวิตต่อ สุดท้ายถ้าถามว่าอยากให้เจ้าหน้าที่จัดการกับนายอ้นอย่างไร ตนเคยเอาเขาเข้าคุกเข้าตารางมาแล้ว แต่ก็ถูกปล่อยออกมา พฤติกรรมเขาก็ยังเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นอย่างเดียวที่ต้องการตอนนี้คืออยากใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่

น้องตังค์ หรือ นายนิมิตร กิ่งลูกอินทร์ อายุ 18 ปี หลานของยายมาลี ซึ่งถูกนายอ้น กล่าวหาว่านำแบตเตอรี่สำรองไป กล่าวยืนยันว่า ตนไม่ได้หยิบไป แต่นายอ้นหาไม่เจอเอง ประกอบกับเขาคลั่งยาก็เลยโวยวาย อาละวาดไปทั่ว

ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 64 มีชาวบ้านเห็นว่านายอ้น ผลักและถีบยายมาลี เกือบตกคลอง ตนจึงถามไปว่าทำร้ายยายทำไม ทำให้เขาไม่พอใจที่ตนถาม จึงเข้ามารัดคอแล้วลากไปนั่งบังคับให้ตนขอโทษ ซึ่งตนก็ขอโทษไปแล้ว แต่ยังโดนด่าหยาบคายและถูกทำร้ายร่างกาย ด้วยการเตะ ต่อย ตีเข่า ทุบตี ตบหน้าจนศีรษะ กรามโยก กัดอะไรไม่ค่อยได้จนถึงปัจจุบัน ซ้ำยังจะเดินไปหยิบมีดพร้าของยายมาขู่ด้วย แต่โชคดีที่ชาวบ้านห้ามเอาไว้ทัน 

"ตอนนั้นผมโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง ให้มาระงับเหตุ แต่ก็ไม่มีการดำเนินคดี เพียงแค่เข้ามาคุมตัวออกไปจากบ้าน แล้วตำรวจก็ปล่อยไว้ตรงปากซอย ผมก็งง ๆ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จับแล้วปล่อย ๆ โดยตำรวจให้เหตุผลว่า ถ้าอยากให้มีการดำเนินคดีต้องเอาหลักฐานไปแจ้งความที่โรงพัก" น้องตังค์ กล่าว 

นอกจากนี้ ตนตั้งใจไว้แล้วว่า หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทำอะไร ตนจะพายายไปแจ้งความแน่นอน เพราะหลังเกิดเหตุนายอ้นขู่ไว้ว่าจะกระทืบตนให้ตาย ทำให้ตนนอนไม่หลับทั้งคืน แม่ตนที่อยู่ต่างประเทศก็เป็นไมเกรน พอรู้เรื่องนี้แม่ก็เครียดจนเป็นลม และวางแพลนทันทีว่าช่วงเดือนมีนาคม 65 แม่จะรีบกลับมาประเทศไทย เพราะเป็นห่วงยายมาลีและลูก ๆ

ส่วนประเด็นที่หลายคนถามถึงผู้หญิงใส่ชุดกากี ซึ่งเดินลงจากบ้านไปหน้าตาเฉย ขณะที่ยายถูกสาดน้ำใส่นั้นเป็นใคร เขาเป็นลูกสาวคนที่ 4 ของยาย เมื่อวานนี้ (27 ธ.ค.64) เขารีบออกไปทำงานเลยไม่ได้อยู่ช่วย และตนเคยถามแล้วว่าทำไมไม่ทำอะไรบ้าง เขาก็บอกว่ากลัว ไม่กล้าทำอะไร ไม่อยากยุ่ง ถ้าถามว่าสิ่งที่อยากขอความช่วยเหลือตอนนี้คืออะไร ตนก็อยากให้เจ้าหน้าที่เข้ามาคุมตัวนายอ้น เพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้แบบนี้ ทุกคนในบ้านมีหวังไม่ปลอดภัยแน่ ๆ

น้องเอแคร์ อายุ 11 ขวบ น้องสาวของน้องตังค์ ซึ่งเป็นผู้ถ่ายคลิปดังกล่าว เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตนทนดูไม่ได้จริง ๆ เพราะนายอ้น ทั้งดุด่ายาย ตียาย แล้วครั้งนี้สาดน้ำในคลองใส่ยายอีก ตนก็เลยเอาโทรศัพท์มาถ่ายไว้เป็นหลักฐาน หากยายเป็นอะไรไปจะได้มีหลักฐาน ซึ่งที่ตนร้องไห้ก็เพราะสงสารยาย ไม่รู้จะทำอย่างไร ตนพยายามตะโกนถามว่าทำยายทำไม ๆ แต่นายอ้น ก็ตอบกลับมาว่า “อย่าเ_อก เรื่องของกู” ตนก็เลยตกใจทำอะไรไม่ถูก

"ทุกวันนี้หนูต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัว ความหวาดระแวง เพราะที่บ้านมีทั้งเด็ก ๆ คนแก่ และผู้หญิงอาศัยอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะคลั่งขึ้นมาวันไหนอีก หนูก็อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับนายอ้น เข้าคุกนาน ๆ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องปล่อยออกมาเลยจะดีที่สุด เนื่องจากคนแบบนี้นิสัยไม่ดี ไม่น่ารัก" น้องเอแคร์ กล่าว 

นอกจากนี้ ยังปรากฏคลิปช่วงต้นเดือนธันวาคม 64 ที่ผ่านมา วินาทีที่นายอ้นคลั่งยาแล้วโวยใส่นางสาวชื่นจิต นิ่มปิ อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นป้าและเป็นลูกสาวคนที่ 2 ของยายมาลี ด้วยการนำไม้เกี่ยวผลไม้ ตรงปลายเป็นตะขอมาง้างจะฟาดไปที่บ้านของนางสาวชื่นจิต ก่อนที่จะหยิบกะละมังเก่า ๆ เขวี้ยงปาเข้าไปที่บ้าน แล้วก็ด่าทอด้วยคำหยาบคาย

ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี จึงได้คุยกับนางสาวชื่นจิต นิ่มปิ เล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ในคลิปเป็นแค่ส่วนหนึ่งของพฤติกรรมคลั่งยาของนายอ้นที่ตนเจอ เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยยิงหนังสติ๊กใส่ตน ขับรถชน เอาไม้หน้าสามไล่ตี ยืนด่าหยาบคายและอีกสารพัด ซึ่งสาเหตุมาจากเรื่องง่าย ๆ คือ โดยปกติแล้วเขาไม่ได้ทำงานอะไร ยกเว้นไปรับจ้างทั่วไปนิดหน่อย ๆ ไม่มีรายได้เป็นกิจจะลักษณะ ก็จะมาขอเงินตนไปซื้อยาบ้าและมาขอข้าวกินประจำ ซึ่งช่วงแรกตนทำงานเป็นแม่บ้าน ก็พอจะมีรายได้เอามาแบ่งให้อยู่บ้าง

แต่พักหลังมานี้ ตนตกงานไม่มีรายได้เป็นหลักเป็นแหล่ง อาศัยรายได้ของลูก ก็เลยไม่มีเงินให้นายอ้น ทำให้เวลาที่เขามาขอ แล้วไม่ได้เงินกลับไป เขาก็จะโมโห พอเห็นหน้าตนเขาก็จะด่าหยาบคาย หนักเข้าก็เขวี้ยงข้าวของใส่ตนเหมือนคนบ้า

ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าอาการของนายอ้น คือ คนคลั่งยา 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะตนเห็นขณะที่เขาซื้อขายกัน ซื้อเสร็จเขาก็จะเอาไปเสพ ตนพยายามเตือนคนที่ขายแล้ว แต่คำตอบที่ได้มาคือ “ถ้าไม่ขายก็ไม่รู้จะทำอะไรกิน ไม่อยากไปทำงานอื่น มันเหนื่อย” ตนก็เลยหมดปัญญา และเมื่อ 4 ปีก่อน นายอ้นเคยโดนตำรวจจับข้อหาเสพยาเสพติด ติดคุก 1 ปีกว่า ๆ แต่พอออกมาก็ไม่ได้เข็ดหลาบ ผ่านไป 3 เดือนก็วนกลับมาเสพเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ที่ทำกับยายมาลี แม่ของตน ตนมองว่าทำเกินไป ตนอยากให้ตำรวจตามจับตัวให้ได้โดยเร็ว

ต่อมาในช่วงบ่ายของวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง จำนวน 7-8 พร้อมกับนายสุวัฒน์ ทวีศักดิ์ศรี กำนัน ทีมเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง อ.บางบัวทอง เดินทางมาพบยายมาลี เพื่อสอบถามความเป็นไปได้ว่านายอ้น จะไปหลบอยู่ที่ไหนได้บ้าง ทำให้ตลอดช่วงบ่ายมีการกระจายกำลังออกตามจุดต่าง ๆ ทั้งบริเวณถนนหลังบ้านซึ่งเป็นสวนมะพร้าวที่นายอ้น เคยมารับจ้างเก็บมะพร้าว แต่ก็ไม่เจอ หรือจะเป็นภายในวัดบางรักใหญ่ที่นายอ้นมักจะมาขอข้าว มาช่วยงานพระคนสนิท แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ รวมแล้วใช้เวลาในการตามหาช่วงบ่ายประมาณ 3 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น.

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ต้องกลับไปประชุมวางแผนตามล่านายอ้นกันใหม่อีกรอบ โดยระหว่างนั้นกำนันก็ได้พาน้องตังค์ เดินทางเข้าแจ้งความที่ สภ.บางบัวทอง ในกรณีที่ถูกนายอ้น ทำร้ายร่างกายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 64 ที่ผ่านมา และนำคลิปวีรกรรมของนายอ้นทั้งหมด มามอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักฐาน ก่อนจะพาน้องตังค์ไปไปตรวจร่างกายที่ รพ.บางบัวทอง เพื่อนำมายื่นประกอบสำนวนคดี

ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี สอบถามกับนางสาววรินทร สมทรัพย์ อายุ 35 ปี น้องสาวต่างแม่ของนายอ้น กล่าวยอมรับทั้งน้ำตาว่า ตนเคยเสพยา ติดยา ขายยาเสพติด และเคยโดนจับเข้าคุกเมื่อ 4 ปีก่อน แต่ปัจจุบันไม่ได้ขายแล้ว เหลือแค่เสพเพื่อให้มีแรงออกไปทำงาน ยอมรับเป็นคนเอายาให้นายอ้น ตนให้กินฟรี ๆ เพราะเห็นว่า นายอ้น มีพฤติกรรมคล้ายคน 2 บุคลิก บางเวลาก็เหมือนคนปกติ ทำมาหากิน ยิ้มแย้มสดใส แต่บางช่วงก็อารมณ์ร้อน ทำลายข้าวของโดยไม่มีเหตุผล ไม่ออกไปทำงาน ก็เลยมองว่าหากน้องชายได้ลองกินบ้าง อารมณ์ร้อนที่มีอาจจะดีขึ้น แล้วปรากฏว่าได้ผล ทำให้เวลาน้องอารมณ์แปรปรวน ก็จะมาขอยาจากตนไปเสพ ตนก็เห็นว่าเป็นน้องจึงให้ไปฟรี ๆ

เมื่อช่วงต้นปี 64 ตนไปเจอกับจดหมายตัดพ้อของนายอ้น ที่เขียนไว้ 2 ฉบับ โดยฉบับที่ 1 เขียนว่า “ทำอะไรอยู่ทุกวันนี้ ทำอะไรก็รู้กันอยู่ คนไม่รู้ก็ไม่รู้นะ ผิดมากมั้งทุกวันนี้ ทำดีไม่ได้เลย” และมีภาษาอังกฤษทิ้งท้ายว่า "Parlohat"

ส่วนฉบับที่ 2 คาดว่าคงเขียนพร้อมกัน ระบุว่า “บางทีความเป็นห่วงหรือสงสารใครมันก็เริ่มหมด เริ่มน้อยใจว่าทุกวันนี้เราทำอะไรใครร้ายแรงหรือเปล่า ชีวิตเราทำไมมันอะไรขนาดนี้ว่ะ” และทิ้งท้ายด้วยภาษาอังกฤษว่า "NO"

เมื่อตนเห็นจดหมายทั้ง 2 ฉบับ ก็รู้ทันทีว่าเป็นลายมือของน้องชาย และเมื่ออ่านแล้วความหมายค่อนข้างหดหู่มาก ดังนั้นการที่ตนออกมาให้สัมภาษณ์และยอมรับแบบนี้ บอกเลยว่าไม่กลัวว่าจะถูกดำเนินคดีไปด้วย เพราะทุกวันนี้ตนไม่มีใครเหลือแล้ว ไม่มีเพื่อนฝูง เหลือแค่นายอ้น คนเดียวที่คอยพูดคุย คอยปรึกษากัน และต่อให้ตนโดนนายอ้นวนกลับมากระทืบก็ไม่เป็นอะไร