ทนายเผย ตร.พร้อมคืน “ทองคำ” ให้ “พี่คล้าว” ดูแล - ผกก. ตั้งปมสงสัย ควายยิ้มได้เองหรือโดนบังคับ ? (คลิป)

1 ธ.ค. 61
จากกรณี นายสุรัตน์ แผ้วเกตุ อายุ 34 ปี เจ้าของภาพควายยิ้มที่เป็นขวัญใจชาวโซเชียล ฉายาพี่คล้าว 2018 ระดมทุนเพื่อซื้อเจ้าทองคำ ควายเพศผู้ หลังเจ้าของบอกให้โอกาสนายสุรัตน์หาเงินมาซื้อเจ้าทองคำไว้เลี้ยง ซึ่งหลังรับเงินบริจาคกว่า 1 แสนบาท และทำการตกลงซื้อขายไปเรียบร้อยแล้วนั้น ล่าสุดนายบุญเลิศ กาฬภักดี นายก อบต.สุขเดือนห้า เจ้าของควาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายสุรัตน์ ข้อหาฉ้อโกงประชาชน และข้อหานำเข้าข้อความอันเป็นเท็จ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คันนายาว ได้อายัดของกลางในคดีคือเจ้าทองคำ นำมาเลี้ยงไว้ที่สถานีตำรวจชั่วคราว ขณะเดียวกัน หลังจากเรื่องราวถูกนำเสนอผ่านสื่อ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (อ่าน : “พี่คล้าว” น้ำตาคลอ ซึ้งใจคนแห่เป็นพยานช่วยคดีฉ้อโกงควาย “ปรเมศวร์” ติงตำรวจหัดมีสติ โดนฟ้องกลับจะสลบ ถามคนแจ้งความ คิดอะไรอยู่)
พันตำรวจเอกสิงห์ สิงห์เดช ผู้กำกับการตำรวจ สน.คันนายาว
วันที่ 30 พ.ย. 61 พันตำรวจเอกสิงห์ สิงห์เดช ผู้กำกับการตำรวจ สน.คันนายาว ชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เป็นผู้ไปยึดควายมาไว้ที่สถานีตำรวจ แต่เรื่องการยึดควาย เป็นการตกลงกันของทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากมีการโต้แย้งกัน เรื่องสิทธิ์การครอบครองควาย คู่กรณีจึงตกลงกันว่าจะนำควายมาไว้ที่ สน.คันนายาว นอกจากนี้ มีนักกฎหมายหลายท่านวิพากษ์วิจารณ์ตนให้เสียหาย ตนจึงต้องการชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานตามหน้าที่ หากมีผู้ร้องทุกข์ และมีมูลเหตุเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ก็ต้องรับเรื่องไว้ ไม่ว่าคดีจะเล็กหรือไม่ ก็ต้องรับ ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ออกหมายเรียกไปตามกฎหมาย และนายสุรัตน์เองก็ได้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะเรียกทั้ง 2 ฝ่าย มาพบเพื่อเจรจาเรื่องควายของกลาง ว่าจะให้ไปอยู่ในความดูแลของใคร เพื่อเป็นการหาทางออก
เจ้าทองคำ ควายของกลาง
พันตำรวจเอกสิงห์ กล่าวต่อว่า นายสุรัตน์เป็นคนซื่อ ใครพาไปไหนก็ไป แต่ตนเชื่อว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ โด่งดังขึ้นมา เช่น ควายยิ้ม เจ้าหน้าที่ก็ต้องไปสอบผู้ชำนาญด้านควายว่าควายยิ้มได้หรือไม่ มีการไปหงายคอขึ้น หรือดึงเชือกข้างหลังทำให้ควายเจ็บแล้วอ้าปากหรือไม่ หรือเรื่องของใครเป็นคนถ่ายภาพ ใครเป็นคนทำเพจ ตอนนี้ได้สั่งห้ามนายสุรัตน์ให้สัมภาษณ์สื่อเรื่องคดีแล้ว เพราะเป็นการออกสื่อฝ่ายเดียว ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับตำรวจและผู้กล่าวหาได้
นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความนายสุรัตน์
ด้าน นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความนายสุรัตน์ กล่าวว่า ตนพยายามต่อสู้มาตั้งแต่ชั้นสอบสวน ซึ่งวันที่เข้าไปให้การกับเจ้าหน้าที่ ตนก็พยายามรวบรวมพยานหลักฐานไปแสดงให้มากที่สุด เพื่อให้พนักงานสอบสวนเห็นว่านายสุรัตน์เป็นผู้บริสุทธิ์ และสั่งไม่ฟ้องไปยังอัยการ ซึ่งหากอัยการเห็นพ้องสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกันคดีก็จบ โดยหลักฐานที่นำไปแสดงคือ การโพสต์เฟซบุ๊กต่าง ๆ เรื่องการรับบริจาค ซึ่งจากการพูดคุยกับนายสุรัตน์ในวันเข้าให้ปากคำ เจ้าตัวไม่ได้ดูกังวล และบรรยากาศก็ค่อนข้างผ่อนคลาย ส่วนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนก็เห็นว่าทำงานถูกต้องตามขั้นตอน เนื่องจากหลังรับเรื่องร้องเรียน หากเจ้าหน้าที่เห็นว่ามีมูลก็สามารถออกหมายเรียกอีกฝ่ายมาให้ปากคำ แต่หากคดีไม่มีมูล ก็ควรจบคดี โดยเรื่องของกรรมสิทธิ์ควายนั้น ล่าสุด นายสุรัตน์เพิ่งแจ้งตนว่า พรุ่งนี้ (1 ธ.ค.) จะเข้าไปรับควาย พร้อมนายบุญเลิศ คู่กรณี ในเวลาประมาณ 10.00 - 11.00 น. ซึ่งตนยังไม่ได้สอบถามรายละเอียด แต่คาดว่าทั้งคู่มีการไกล่เกลี่ยกันแล้ว ซึ่งสาเหตุที่นายสุรัตน์สามารถไปรับควายได้ เพราะเรื่องกรรมสิทธิ์เป็นเรื่องทางแพ่ง ถือว่าเป็นคนละส่วนกับคดีอาญา
นายสุรัตน์ แผ้วเกตุ ผู้ถูกกล่าวหา (แฟ้มภาพ)
นอกจากนี้ นายสุรัตน์ต้องระมัดระวังไม่หยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องส่งศาลฝากขังในช่วงพิจารณาคดีได้ ส่วนเรื่องคำพูดว่า "ไถ่" ของนายสุรัตน์ ต้องดูเจตนา ซึ่งเจ้าตัวก็เป็นคนซื่อ ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น คดีนี้น่าจะต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องเรียกผู้บริจาคมาสอบปากคำ เพื่อพิสูจน์ว่าคดีมีมูลหรือไม่

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ