พยานแฉแก๊ง ผู้กำกับโจ้ อุ้มศพเหยื่อส่งรพ.ร่างช้ำทั่วตัว โจ้โผล่เคลียร์ 2 รอบ (คลิป)

เปิดปากพยานเห็นเหตุการณ์วันแก๊ง ผู้กำกับโจ้ พาเหยื่อมาส่ง รพ. ก่อนตาย จากคดีดัง ผู้กำกับโจ้ กับ 6 ตำรวจ ถุงคลุมหัว นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หลังจากถูกจับคดียาเสพติดที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ โดย พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ โจ้ ผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ รับสารภาพว่าใช้ถุงดำคลุมหัวจนตาย เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 64 และสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาร่วมก่อเหตุ หลังมีคลิปวงจรปิดเผยพฤติกรรมออกมาเป็นนาทีก่อเหตุ ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 64 เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ทั้ง 7 รายแล้วนั้น

ข้อมูลการสอบปากคำทีมแพทย์แผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลพริ๊นซ์ ปากนำโพ ระบุว่า นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หรือ มาวิน ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ถูกพาตัวไปส่งโรงพยาบาล ในเวลา 13.38 น. ของวันที่ 5 ส.ค.64 โดยตำรวจปราบปรามยาเสพติดชุด 05 นำไปส่งโรงพยาบาลด้วยรถจำนวน 2 คัน แบ่งเป็นรถของตำรวจปราบปรามยาเสพติด ชุด 05 ที่มีมาวินอยู่ในรถ และอีกคันคือรถผู้กำกับโจ้

วันที่ 29 ส.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายัง รพ.ปรินส์ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ รพ.แห่งแรกที่รับผู้ป่วย นายแมว (นามสมมติ) พยาน ให้ข้อมูลว่า วันที่เกิดเหตุ 4 ส.ค. 64 เวลาประมาณ 13.38 น. มีเวลเปล 2 คน และ รปภ. 1 คน อยู่ เท่าที่ตัวเองจำเหตุการณ์ได้ นายมาวินจะนอนอยู่เบาะหลัง มีผู้ชายสวมเสื้อลายเขียวขาว คือ ด.ต.วิสุททธิ์ เป็นคนที่กำลังปั๊มหัวใจให้นายมาวินอยู่

เท่าที่สังเกตผู้ป่วยผิวหนังคล้ำทั้งคัว ตาคล้ำ แต่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่านายมาวินเขาตาคล้ำมาตั้งแต่แรกแล้วหรือไม่ ร่างกายนิ่ง ไม่ตอบสนอง เท่าที่สังเกตด้วยตาเปล่า ส่วนผู้ที่มาส่งผู้ป่วยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ เพราะเขาบอกว่าผู้ป่วยวิ่งหนีตำรวจขณะจับยาเสพติดเท่านั้น และตัวเองก็จำไม่ได้ว่าคนไหนเป็นใคร รู้แต่เพียงมีตำรวจนั่งรถมาด้วยกัน 2 คัน คือรถคันที่มาส่งผู้ป่วยและรถคันทึ่ตามมาทีหลัง

ส่วนชีพจรของผู้ป่วยตัวเองก็ไม่ได้สังเกต เพราะหลังจากที่นำผู้ป่วยขึ้นรถเข็นก็มีการส่งไปที่ห้องฉุกเฉินต่อ โดยไม่รู้รายละเอียดหลังจากนี้ และเวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ส่งนายมาวินไปรักษาตัวที่ รงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ต่อ กระทั่งเสียชีวิต

นอกจากนี้ ผกก.โจ้ รอบแรกที่ตามคนคนป่วยมาแต่งกายนอกเครื่องแบบ หลังจากนั้นเขาก็กลับไป และมาในรอบที่ 2 ในการแต่งกายเครื่องแบบตำรวจ

นายหนุ่ม (นามสมมติ) พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า วันเกิดเหตุ 4 ส.ค. 64 เวลาประมาณ 13.38 น. ได้มีรถเก๋งขับเข้ามาส่งผู้ป่วย ซึ่งก็คือนายมาวิน โดยตัวเองเห็นนายมาวินนอนหมดสติอยู่ที่เบาะหลังรถเก๋ง และมีตำรวจนอกเครื่องแบบนั่งมาด้วยประมาณ 4 คน

ส่วนนายมาวินนั้น ตัวเองก็ดูไม่ออกว่าเขามีชีพจรเต้นอยู่หรือไม่ ซึ่งที่ตัวเองรู้ว่ากลุ่มคนที่มาส่งคนเจ็บเป็นตำรวจก็เพราะว่าเขาได้บอกว่าคนเจ็บได้วิ่งหนีการจับกุมของตำรวจ กระทั่งวิ่งหมดสติ ตำรวจจึงนำมาส่งโรงพยาบาล จากนั้น ตัวเองก็เห็นเวลเปลนำส่งห้องฉุกเฉิน และไม่รู้อาการของนายมาวินต่อจากนั้นอีก ส่วนตำรวจแต่ละนายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะเหตุการณ์ขณะนั้นค่อนข้างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้แต่ว่าในวันดังกล่าวมีตำรวจเข้า-ออกโรงพยาบาลประมาณ 3 รอบ

ซึ่งจากคำบอกเล่าขอพยานที่เห็นเหตุการณ์จริง สอดคล้องกับข้อมูลที่แก๊งตำรวจอ้างว่าผู้ตายหรือคดียาเสพติดแล้วล้มวูบหมดสติ จึงพาส่งตัวที่โรงพยาบาล แต่ไม่สอดคล้องกับภาพจากวงจรปิดวินาทีโหดร้ายใช้ถุงคลุมหัวนายจิระพงศ์ก่อนจะเสียชีวิต

โดยจากข้อมูลการจับยาเสพติดนายมาวิน ผู้ต้องหา ถูกดำเนินการจับกุมโดยตำรวจชุดดังกล่าวอ้างว่ามีการเค้นสอบถามหาของกลางยาเสพติด และมีข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของนายมาวิน แต่หลังจากเป็นคดีดัง หลักฐานโทรศัพท์มือถือหายไป ตอนนี้อยู่ระหว่างการค้นหาเพื่อรวบรวมหลักฐานปผระกอบสำนวนคดี

ต่อมาทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางมายังจุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการล่อซื้อยาเสพติดกับนายมาวิน ที่ตลาดนัดหน้าค่ายจิรประวัติ ต.นครสวรรค์ออก อ.เมือง จ.นครสรรค์ โดยจุดดังกล่าวพบว่าเป็นลานตลาดนัด มีกล้องวงจรปิดอยู่ 2 จุด ที่ร้านสะดวกซื้อ ก่อนหน้านี้ตำรวจชุดสืบสวนได้มาขอกล้องวงจรปิดไปแล้ว

ทีมข่าวได้พบกับนางจ๊อต สร้อยจู 0631196455 แม่ค้าในพื้นที่ ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองตะเปิดร้านขายของที่ตลาดนัดดังกล่าวช่วง  19.00-22.00 น. วันที่ 4 ส.ค. 64 ที่มีการล่อซื้อยาเสพติดกับนายมาวิน ตัวเองก็ไม่เห็นเหตุการณ์ ไม่เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติด เนื่องจากตัวเองมัวแต่ขายของ และไม่เห็นรถกระบะของนายมาวินอีกด้วย

มาทราบข่าวย้อนหลังว่ามีการล่อซื้อยาเสพติดที่จุดนี้ ตัวเองก็รู้สึกตกใจ ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นเหตุการณ์คนมาซื้อขายยาเสพติดแต่อย่างใด ในฐานะที่ตัวเองเป็นประชาชนในอำเภอเมืองนครสวรรค์ ยังเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเชื่อว่ามีทั้งตำรวจที่ดีและตำรวจที่ไม่ดี

ขณะที่ภรรยาหนึ่งในผู้ต้องหาแจง ย้ายออกจากแฟลตตำรวจ เนื่องจากต้องย้ายออกเองตามระเบียบ และหลังสามีตกเป็นผู้ต้องหาต้องแลกรับหนี้สินกว่า 10 ล้านบาท

นางสาวแวว (นามสมมติ) ภรรยาผู้ต้องหา เล่าว่า ตามข่าวที่นำเสนอออกไปว่าตัวเองถูกไล่ออกจากแฟลตตำรวจ หลังสามีตกเป็นผู้ต้องหานั้น ตัวเองขอแก้ข่าวว่าไม่เป็นความจริง ตัวเองต้องย้ายออกจากแฟลตตำรวจ เพราะสามีตัวเองไม่ได้อาศัยอยู่ตรงนั้นด้วยแล้ว ตัวเองจึงต้องย้ายออกตามระเบียบ แล้วคนใหม่ก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่แทนตัวเอง และอยากให้เข้าใจว่าตัวเองไม่ได้โดนไล่ ตอนนี้ตัวเองก็กำลังอยู่ระหว่างหาที่อยู่ใหม่อยู่ คาดว่าถ้าได้ที่อยู่ที่แน่นอนตัวเองก็จะพาลูกมาอยู่ด้วย

ตนยืนยันว่าตอนนี้ยังคงคิดถึงสามี และยังใช้ชีวิตลำบากมากกว่าเดิม เนื่องจากภาระหนี้สินต่าง ๆ มีหลัก 10 ล้านบาท ตัวเองต้องแบกรับคนเดียว ตอนนี้ตัวเองยังไม่ได้ไปเยี่ยมสามีที่เรือนจำกลางจังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากยังอยู่ในช่วงที่สามีกักตัวโควิด-19 และตัวเองก็อยากบอกสังคมเหมือนเดิมว่าให้หยุดโจมตีครอบครัวตัวเอง และให้อยากให้รอศาลตัดสินดีกว่า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง