
ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ตั้งแต่วันที่ 23-29 พ.ย.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline จำนวน 6,533 เคส มูลค่าความเสียหาย 424,787,924 บาท ซึ่งคดีที่รับแจ้งลดลงจากห้วงวันที่ 16-22 พ.ย.68 จำนวน 392 เคส และมูลค่าความเสียหายลดลง 195,750,710 บาท
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า จำนวนคดีลดลงต่อเนื่อง และมูลค่าความเสียหายลดลง คิดเป็น 31.40 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนถึงประสิทธิภาพของมาตรการป้องปราม และการแจ้งเตือนภัยที่เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น แต่เนื่องด้วยสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการกวาดล้าง "ศูนย์สแกม Shwe Kokko" ในเมียนมา ที่มีการจับกุมชาวต่างชาติกว่า 900-1,700 คน เกิดปรากฏการณ์ "ม้าข้ามแดนหนีตาย" (The Great Displacement) ประกอบกับประเทศไทยที่มีปฏิบัติการ “ล่าบัญชีม้า”จำนวนมาก จึงบีบให้ขบวนการต้องดินรนหาทางออกใหม่ สถานการณ์นี้ทําให้เกิด "ภาวะรังแตก" (Displacement) กลุ่มมิจฉาชีพ บางส่วนต้องย้ายฐานหนีตาย และคาดว่าจะฉวยโอกาสใช้สถานการณ์ "อุทกภัยในภาคใต้ ของไทย" เป็นฉากบังหน้าเพื่อแทรกซึมเข้ามาแฝงตัว หรือใช้ความวุ่นวายของภัยธรรมชาติ เป็นเครื่องมือในการ "ปั่นกระแสข่าวลวง" เพื่อหลอกลวงเหยื่อที่กําลังตื่นตระหนก ด้วยการใช้เทคโนโลยีส่งสัญญาณปลอม (Fake Base Station) ฉวยโอกาสส่ง "ข่าวลวงซ้ำเติมวิกฤต" (Disinformation & Crisis Exploitation) สร้าง Fake News หรือคอนเทนต์บิดเบือนเกี่ยวกับสถานการณ์ น้ำท่วม เพื่อปั่นยอด Engagement และล่อลวงเหยื่อ (โดยพบระบาดในมาเลเซียขณะนี้) มีการส่งข้อความปลอมเข้ามือถือผู้ประสบภัย อ้างเป็นหน่วยงานรัฐแจ้งเตือนภัย หรือแจกเงินเยียวยา ก่อนหลอกดูดข้อมูล ขณะเดียวกันมีการสร้างเพจเฟซบุ๊กปลอมสวมรอยระดมทุน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเร่งด่วน ใช้เงื่อนเวลามากระตุ้นให้คนโอนไวโดยไม่ตรวจสอบ
อีกสิ่งที่น่าสนใจคือในสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า การรับแจ้งความผ่านThai Police online หากนับเชิงปริมาณคดี อันดับ 1 ยังคงเป็นการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ เนื่องจากเป็นภัยพื้นฐานที่เข้าถึงเหยื่อได้ง่ายที่สุด แต่สิ่งที่น่าจับตาคือ “คดีหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล” ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ตามมาติดๆ ขณะที่ หลอกให้โอนทำภารกิจ อ้างหารายได้ และการข่มขู่ทางโทรศัพท์ เป็นอันดับที่รับแจ้งความรองลงมาตามลำดับ
ขณะที่หากเทียบเชิงมูลค่าความเสียหาย จะพบว่า การหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล กลายเป็นอันดับ 1 แทนคดีหลอกลงทุน ที่ครองแชมป์ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่าคนร้ายเปลี่ยนเป้าหมายจาก “การหาเหยื่อรายใหญ่” มาเป็น “การกวาดต้อนเหยื่อรายกลาง” จำนวนมากที่หลงกลอุบายของมิจฉาชีพ และเชื่อเรื่องโชคลาภแทน ซึ่งแม้มูลค่าความเสียหายรายคนอาจจะไม่ได้มากเท่ากับการลงทุน แต่เมื่อรวมการหลอกเป็นจำนวนมากแล้วกลับสร้างความเสียหายมหาศาล ขณะที่การข่มขู่ทางโทรศัพท์ ,หลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษและหลอกลวงซื้อขายสินค้าบริการ มีมูลค่าความเสียหายที่รับแจ้งรองลงมาตามลำดับ
ตัวอย่างคดีที่มีการหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล และมีมูลค่าความเสียหายสูงสุดในรอบสัปดาห์ คือ คดีที่ผู้เสียหายได้โพสต์ขายเครื่องปั๊มนมผ่านทางเฟซบุ๊ก ก่อนจะมีมิจฉาชีพติดต่อมา ก่อนลวงให้สแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อที่จะเข้ากลุ่มโอเพนแชทไลน์ จากนั้นเมื่อเข้ากลุ่มโอเพนแชทไลน์แล้ว จะให้โพสต์สินค้า ก่อนจะให้ผู้เสียหายโอนเงินสมัครสมาชิก อ้างว่าจะได้เงินกลับคืนมา หลังจากนั้นให้เข้าร่วมกิจกรรมในการทำแพลตฟอร์มโอนเงินเพื่อได้ผลตอบแทน แต่เมื่อผู้เสียหายโอนเงินแล้ว กลับไม่ได้รับผลตอบแทน โดยคนร้ายหาเงื่อนไข และขออ้างเพื่อให้โอนเงินไปอย่างต่อเนื่อง พบมูลค่าความเสียหายรวม 6,293,731บาท
ส่วนคดีที่มีการหลอกลงทุน และมีมูลค่าความเสียหายสูงสุด คือคดีที่ผู้เสียหายเห็นโฆษณาเทรดหุ้นผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อสนใจ ได้มีการแอดไลน์กันเพื่อคุยรายละเอียด ก่อนที่คนร้ายจะเริ่มให้โอนเงินเข้าไปเทรดหุ้นจำนวนหลายครั้ง แต่สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินออกได้ พบมูลค่าความเสียหายรวม 17,655,695.62 บาท
ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 9 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมดจำนวน 9 เคสเช่นกัน คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 1,554,000 บาท โดยมีเคสที่น่าสนใจ ดังนี้
เคส 1 เจ้าหน้าที่ศูนย์ ACSC สามารถช่วยเหลือน.ส.ทิพานัน ได้ทัน หลังถูกคนร้ายหลอกให้โอนเงินเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายอุปกรณ์ทางทหารไป 6-7 ครั้ง รวมเป็นเงินร่วม 3 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถอายัดบัญชีได้ทันท่วงที ก่อนจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสมุทรปราการ เข้าตรวจสอบและพูดคุยกับผู้เสียหาย ก่อนแนะนำการแจ้งความ
เคสที่ 2 เคสนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมบัญชีม้าที่ถอนเงินสดในพื้นที่ จ.มหาสารคาม ก่อนจะมีการประสาน warroom ของศูนย์ ACSC ตรวจสอบยอดเงินเข้าบัญชี จากนั้นทางศูนย์ฯจึงได้ประสานท้องที่เข้าช่วยเหลือและระงับการโอนเงินทันที โดยเคสนี้นางกุสุมาลย์ ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล โปรโมทสินค้าอ้างว่าจะได้ผลตอบแทน โดยเป็นการโอนเงินไปกว่า 290,000 บาท
เคสที่ 3 นางสุวรรณา ผู้เสียหายถูกคนร้ายอ้างโทรมาจากไปรษณีย์ ได้ส่งเอกสารที่ต้องกรอกประวัติใหม่ แต่ไม่มีคนรับเอกสาร โดยอ้างว่าเอกสารดังกล่าวเป็นการกรอกข้อมูลเพื่อดำเนินการเปลี่ยนบัญชีรับเงินบำนาญ จากนั้นชักชวนเข้ากลุ่มไลน์วัยเกษียณ และมีการหลอกลวงหลายรูปแบบ จนสุดท้ายเหยื่อสูญเงิน 129,860 บาท ซึ่ง warroom ได้ทำการมอนิเตอร์ เมื่อพบการทำธุรกรรมผิดสังเกต จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ศาลาแดง เข้าช่วยเหลือเหยื่อ พร้อมระงับการโอนเงินทันที ก่อนแนะนำอายัดบัญชี และทำการแจ้งความต่อไป
Advertisement