วันที่ 30 ก.ค. ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่ศาลฎีกา นัดไต่สวนพยานนัดสุดท้าย คดีการพักรักษาตัวที่ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยในวันนี้เป็นการนัดไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย ซึ่งมี นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เดินทางขึ้นเบิกความต่อศาล
นายวิญญัติ กล่าวว่า วันนี้ไม่หนักใจเพราะที่ผ่านมามีการไต่สวนมาตลอด เชื่อว่าศาลจะดูข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะหลายส่วนเกี่ยวข้องกัน ตอนนี้อยู่ที่มุมมองเพราะอาการป่วยของแต่ละบุคคลไม่มีใครปรารถนาที่จะเป็น และเมื่อเป็นแล้วผู้ที่เกี่ยวข้องกับการป่วยก็จะเป็นแพทย์ หรือหน่วยงานใดก็ตามที่ผู้ป่วยอยู่ในความดูแล ก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่และดูแลให้ดีที่สุด ศาลเองก็เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ต้องให้ความคุ้มครองและคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ ในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล
"ตนเชื่อว่าในส่วนที่มีการตั้งคำถามกันอยู่ในขณะนี้ และทำหน้าที่ไต่สวนอยู่ อีกไม่นานก็รับทราบความจริงว่าคืออะไร ความจริงก็ปรากฏอยู่แล้ว และศาลจะเป็นองค์กรหนึ่งที่ทำให้เกิดความชัดเจน"
เมื่อถามว่า มีหลักฐานอะไรมากพอที่จะทำให้ นายทักษิณชนะในคดีนี้หรือไม่ นายวิญญัติ บอกว่า ไม่ใช่เรื่องชนะหรือแพ้ น้ำหนักที่จะทำให้เรื่องนี้ชัดเจนมากกว่าคือ การที่ท่านมีอาการป่วยอยู่แล้ว ส่วนเป็นหลักฐานใดที่จะทำให้ชนะตนเองไม่อาจชี้ชัดได้ และไม่สามารถบอกได้ว่าศาลท่านให้น้ำหนักเกี่ยวกับเรื่องอะไร แต่ทั้งหมดคือความจริงที่เรานำมาตีแผ่ในเวทีนี้ โดยทำให้ความจริงโดยศาลได้ทำหน้าที่ของท่านคือการทำให้ความจริงปรากฏ เพราะมีหลายฝ่ายที่จับผิดพิรุธ ตั้งข้อสังเกต หรือชี้นำก็ไม่ว่ากัน เราต้องเป็นสังคมประชาธิปไตย วันนี้เรารอแค่วันที่จะชัดเจนขึ้น ส่วนวันนี้เป็นปากสุดท้ายโดยมี นายวิษณุ ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายและเป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้พอสมควร
เมื่อถามว่า นายวิษณุ จะเป็นพยานสำคัญที่เป็นผลบวกในคดีนี้หรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ผมว่ามีความสำคัญ
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการถวายฎีกาตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 66 นั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ข้อสังเกตใดๆ อยากให้อยู่ในกรอบ อย่าให้ตัวเองเดือดร้อน และขอให้ตั้งข้อสังเกตในสิ่งที่เป็นไปได้ กระบวนการต่างๆ ไม่ใช่อดีตนายกฯ ทักษิณ จะทำด้วยตัวท่านเองได้ ขอให้ระมัดระวังในการพูด เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญ และอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม
การเกิดขึ้นในครั้งนั้นไม่ใช่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่อยู่ในสมัย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก็ต้องดำเนินการไปตามสิทธิเสรีภาพ หากว่าท่านป่วยและอยากออกมาข้างนอก แต่ว่ากฎหมายไม่ได้อนุญาต และไม่เปิดช่องก็ไม่สามารถทำได้ และหลายคนที่เป็นแบบนี้ หากมีการส่งตัวออกมาจากเรือนจำไม่ทันก็จะเสียชีวิตในเรือนจำ แม้แต่นักเคลื่อนไหวที่เป็นเยาวชน และกลุ่มที่เคลื่อนไหวก่อนหน้าก็ยังต้องถูกส่งโรงพยาบาล
"การตั้งข้อสังเกตใดๆ ให้ระวังดีๆ เพราะข้อสังเกตเหล่านั้นคุณพูดเอามัน คนอื่นเดือดร้อน อย่าให้ตัวเองและญาติตัวเองป่วยบ้าง"
เมื่อถามว่า โน้มน้าว นายวิษณุ อย่างไรถึงสามารถมาขึ้นเบิกความในวันนี้ ยอมเป็นพยานในคดี 112 และคดีรักษาตัวชั้น 14 นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนไม่ได้โน้มน้าวอะไร เห็นแค่ว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้อง และได้ขอกราบเรียนว่าท่านมีสิ่งใดที่จะมาให้ข้อเท็จจริงกับศาล เพราะพยานแต่ละฝ่ายโดยเฉพาะพยานฝ่ายตำรวจ เราได้ยื่นไปหลายปาก และบางปากศาลก็เรียกมาเอง ในเมื่อศาลท่านไม่ได้เรียก นายวิษณุ มา เราก็เลยเชิญมา และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สร้างข้อเท็จจริงขึ้นมา
เหตุการณ์ที่ นายทักษิณ เข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 มีการวางแผนไว้ก่อนหรือไม่ นายวิญญัติ ได้ยกตัวอย่างการประทะที่ชายแดน หลายฝ่ายพูดว่าเหตุการณ์เหล่านี้มีการวางแผนต่างๆ นานา ตนคิดว่าเป็นการพูดไปเรื่อย ขอให้ทุกอย่างอยู่ในกรอบตอนนี้บ้านเมืองต้องการรื้อฟื้นกลับมาในหลายด้านทั้งเศรษฐกิจและสังคม และกระบวนการยุติธรรม
และศาลกำลังทำให้กระบวนการยุติธรรมกลับมา หลังจากที่มีวิกฤติศรัทธาจำเป็นต้องเรียกวิกฤติศรัทธานั้นกลับมาและไม่จำเป็นต้องฟังกระแสสังคมหรือกระแสการเมือง เพราะกระแสการเมืองถือเป็นกระแสของคนที่มีอคติ การเมืองที่ดีสร้างสรรค์จะเป็นอีกแบบ ส่วนการเมืองที่มีอคติก็จะมีแต่บ่อนทำลาย และนี่คือเรื่องจริงและมีหมอคนไหนบ้างที่ปฏิเสธว่าท่านไม่ได้ป่วยจริงบ้าง คณะแพทยสภายังระบุว่าท่านป่วยจริง มีอาการหลายโรคทั้งโรคเรื้อรังและร้ายแรง อาจจะมีความเห็นว่าไม่ควรอยู่โรงบาลก็เป็นเรื่องของท่าน เพราะท่านไม่ใช่หมอผู้รักษา
Advertisement