เสี่ยเบนซ์รับเตะ 2 ผัวเมีย แฉถูกสาวจับเหวี่ยงตัดต่อคลิป คู่กรณีฉะถูกบี้หวิดตาย (คลิป)

จากกรณีวันที่ 18 เม.ย.63 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเผยให้เห็นภาพเหตุการณ์รถเบนซ์คันหนึ่ง และรถจักรยานยนต์อีกคัน ก่อนที่รถเบนซ์จะพยายามกลับรถ แต่กลับชนรถจักรยานยนต์จนล้ม โดยเจ้าของคลิประบุข้อความว่า "เหตุเกิดหน้าห้างคลองรั้งครับ น้องชายผมขี่รถมอเตอร์ไซค์มายูเทิร์น อยู่ ๆ ก็มีเบนซ์ขับมาด้วยความเร็ว แล้วยูเทิร์นที่เดียวกัน ด้วยความที่น้องชายกลัวจะโดนรถเบนซ์เบียด ก็เลยบีบแตรไปหนึ่งที แล้วอยู่ ๆ รถเบนซ์คันนี้ก็ขับปาดหน้ารถมอเตอร์ไซค์ของน้องชายผม ลงจากรถมาต่อยและเตะเข้าที่ใบหน้าจนหน้าบวม ฟันแตก แถมยังเตะเข้าที่บริเวณลำตัวของแฟนน้องผมอีก"

นอกจากนี้ยังมีข้อความอีกว่า "คุณว่ามันมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่าครับ หรือคิดว่ากูมีตังค์ กูจะทำอะไรก็ได้ กฎหมายทำอะไรกับคนแบบนี้ไม่ได้เหรอครับ ช่วยแชร์หน่อยนะครับ ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร หรือเป็นผู้มิอิทธิพลมาจากไหน ถึงจะมาทำอะไรกับใครก็ได้ จะต่อยหน้าใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ได้เหรอครับ"

ล่าสุดวันที่ 19 เม.ย 63 ทีมข่าวอมรินทร์ได้เดินทางมาที่บริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี เป็นบริเวณที่เกิดเหตุที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว เป็นถนนแบ่งเป็นฝั่งละ 3 เลน มีจุยูเทิร์นแต่มีป้ายห้ามกลับรถ ซึ่งชาวบ้านแอบมากลับรถเป็นประจำ โดยบริเวณจุดเกิดเหตุมีป้อมอาสามูลนิธิร่วมกตัญญู จุดศรีมหาโพธิ ซึ่งจากการสอบถามทางเจ้าหน้าที่ไม่สะดวกให้ข้อมูลแต่อย่างใด

ขณะเดียวกันทางทีมข่าวได้เดินทางมาที่บ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ. ปราจีนบุรี ได้พบกับนายสิริวัฒน์ ขามใจ อายุ 23 ปี และน.ส.สุพิชชา สัมเกลี้ยง อายุ 25 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนและแฟนสาวมีอาการบาดเจ็บอยู่บ้าง สำหรับการบาดเจ็บของตนก็มีปากแตก ฟันแตก แขนขวาฟกช้ำ และตาขวาฟกช้ำ ส่วนแฟนสาว ก็มีรอยฟกช้ำที่ขาเล็กน้อย

วันเกิดเหตุตนและแฟนสาวขี่รถจักรยานยนต์กลับมาจากซื้อของที่ตลาด เพื่อที่จะกลับบ้าน กระทั่งขี่รถมาจะถึงบริเวณจุดที่จะยูเทิร์น ประมาณ 20 เมตร แฟนสาวของตนเห็นว่ามีรถเบนซ์คันหนึ่งขับตามมาอย่างเร็ว เมื่อตนจอดรถรอที่จุดยูเทิร์น รถเบนซ์คันดังกล่าวก็ขับมาประกบจอดตรงยูเทิร์นเช่นเดียวกัน ซึ่งตนต้องบังคับรถหลบมาทางขวาเล็กน้อย เพื่อป้องกันการชนกัน

จากนั้นเมื่อถึงจังหวะรถออกตัวจากจุดยูเทิร์น ตนก็ออกตัวรถตามปกติ กระทั่งตนขี่ตรงมาได้ประมาณ 100 เมตร เห็นรถเบนซ์คันดังกล่าวเริ่มขับเข้ามาใกล้ ด้วยความกลัวว่าจะเกิดอันตราย ตนจึงบีบแตรเพื่อส่งสัญญาณเตือน 1 ครั้งให้เขารู้ว่ามีรถจักยานยนต์ขี่อยู่ตรงนี้ หลังจากนั้นตนก็ขี่รถตามปกติ แต่ระหว่างที่ขี่รถมานั้น รถเบนซ์คันดังกล่าวก็พยายามขับรถประกบและได้ขับชะลอรถ เพื่อเปิดกระจกมาถามว่า "บีมแตรใส่กูทำไม" ซึ่งตนก็ไม่ได้ได้ตอบโต้แต่อย่างใด พยายามขี่รถต่อไปเรื่อย ๆ แต่รถเบนซ์คันดังกล่าวพยายามขับเบียดเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงจุดเกิดเหตุที่ปรากฏในคลิป คนขับเบนซ์ได้ขับปาดหน้ารถจักยานยนต์ของตน และได้เปิดกระจกต่อว่า และกล่าวหาเรื่องที่ตนบีมแตรรถ ซึ่งตนก็พยายามอธิบายสาเหตุ แต่ก็ไม่ฟัง

หลังจากนั้นเขาก็เดินลงมาจากรถ และปรี่เข้ามาทำร้ายชกต่อยที่ร่างกายตน ซึ่งแฟนสาวพยายามเข้าไปห้ามกลับถูกเตะ ต่อย และกระชากผม จนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตนและแฟนพยายามไม่ต่อสู้ แต่ใช้มือกันไม่ให้ได้รับบาดเจ็บบนใบหน้า อีกอย่างตนไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน มีอาวุธหรือไม่ จึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะสู้ ยืนยันว่าตนไม่ได้รุมทำร้ายคู่กรณีแต่อย่างใด อย่างมาก็แค่ผลักเพื่อป้องกัน จนกระทั่งมีกู้ภัยที่อยู่บริเวณนั้นมาช่วยจับแยก และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามคลิปที่ปรากฏ

โดยสาเหตุการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้ ตนเชื่อว่าคู่กรณีไม่พอใจที่ตนไปบีมแตรใส่ เพราะก่อนที่เขาจะเข้ามาทำร้ายร่างกาย เขาพูดกับตนว่า "มึงบีมแตรเท่ากับมึงหาเรื่องกู" ซึ่งตนก็พยายามบอกว่า ตนไม่ได้มีเจตนาจะบีมแตรเพื่อหาเรื่องใคร แต่ตนแค่บีมแตรเพื่อส่งสัญญาญเตือนเรื่องรถแค่นั้น แต่เขาก็ไม่ฟังแต่อย่างใด ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้มีการแสดงสีหน้าหรือปฏิกิริยาใด ๆ ที่บ่งบอกว่าจะหาเรื่องแต่อย่างใด เพราะตนก็ไม่รู้จักคู่กรณี

นายสิริวัฒน์ เผยต่อว่า ขณะเกิดเหตุนั้น ตนไม่แน่ใจว่า คู่กรณีเขาเมาหรือไม่ แต่เท่าที่ตนสังเกตทางคู่กรณีจะมีใบหน้าที่ออกแดง ๆ ตนยอมรับว่า หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนและทางครอบครัวมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างมาก และยิ่งมารู้ว่าเขาทำงานอะไร เป็นใคร ตนยิ่งมีความกังวลมากขึ้น แต่ตนยืนยันที่จะไม่ลบคลิปวิดีโอดังกล่าวเด็ดขาด เพราะตนถือว่าไม่ผิด

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุทางฝ่ายคู่กรณียังไม่มีการติดต่อมาแต่อย่างใด ซึ่งตนและครอบครัวได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.ศรีมหาโพธิ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในส่วนการอภัยหรือไม่นั้น ตนยังตอบไม่ได้ คงต้องปล่อยให้เป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้มีโอกาสพบกับ นายสมบูรณ์ แพงมา อายุ 52 ปี ชายคู่กรณีที่ปรากฏในคลิปวิดีโอดังกล่าว เปิดเผยว่า จากคลิปเหตุการณ์ และข้อมูลที่ทางฝั่งคู่กรณีลงบนโซเชียลฯ นั้น ตนมองว่าคู่กรณีบิดเบือนความจริง คลิปที่โพสต์เล่าให้เห็นเหตุการณ์ไม่ครบ โดยในวันเกิดเหตุตนขับรถมาเพื่อที่จะกลับบ้าน และกำลังจะขับไปยูเทิร์นที่บริเวณคลองรั้ง แต่ด้วยความที่รถติดและรีบมา ตนมีความจำเป็นจึงต้องลักไก่ยูเทิร์นกลับรถในเขตห้ามกลับ ซึ่งขณะนั้นรถของคู่กรณีกำลังรอกลับรถเช่นเดียวกัน

กระทั่งรถตนและรถของคู่กรณีมาจอดคู่กันที่จุดยูเทิร์นรถ ซึ่งตนได้สังเกตว่าทางคู่กรณี มีการชักสีหน้าไม่พอใจตนที่ตนกลับรถตรงนี้ ทั้งทีเขาก็กลับเช่นกัน พอตนออกตัวกลับรถเสร็จขับไปสักพัก ทางคู่กรณีก็ได้มีการบีบแตรใส่ตน ตนยอมรับว่าเริ่มโมโห เพราะตนมองว่าการบีมแตรแล้วทำหน้าทำตาที่ไม่ดีให้ตนนั้น ถือไม่มีมารยาทเป็นอย่างมาก ซึ่งตนพยายามขับรถเปิดกระจกถาม แต่เขาก็ไม่ตอบ ทำให้ตนโมโหหนักมากขึ้น จนควบคุมสติไม่ได้

เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ ตนจึงตัดสินใจขับรถปาดหน้าและลงจากรถ และพูดคุยกันได้ไม่นานก่อนจะทะเลาะทำร้ายร่างกายกัน และทุกอย่างก็เป็นไปตามคลิปวิดีโอ ซึ่งตนยอมรับว่าตนเป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายก่อน แต่เขาก็ไม่ควรนำไปโพสต์ลงเฟซบุ๊กบิดเบือนความใจจริงขนาดนี้ ทำไมเขาไม่โพสต์สาเหตุที่แท้จริง เพราะอะไร เขามีกระทำพฤติกรรมอย่างไรก่อนหน้านี้ จึงทำให้ตนโมโหขนาดนี้ และการที่เขานำไปลงเฟซบุ๊กอย่างนี้ ทำให้คนทั้งประเทศเข้าใจตนผิด หาว่าตนตั้งใจปาดหน้าลงไปทำร้ายเขาก่อน ทั้งที่ไม่มีเรื่องกันมาก่อน ซึ่งมันมีเรื่องถามกันตั้งแต่ตรงยูเทิร์นแล้ว แต่แค่ไม่ได้ทำร้ายร่างกายกันก็แค่นั้น

นายสมบูรณ์ เผยต่อว่า ในส่วนการทำร้ายผู้หญิงนั้น ตนยอมรับว่าทำจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายแต่อย่างใด เนื่องจากช่วงที่ทะเลาะทำร้ายร่างกายกันนั้น ผู้หญิงได้เขามาเหวี่ยงตน ทำให้ล้มลง จึงทำให้ตนโกรธมาก แสดงพฤติกรรมที่รุนแรงอย่างนั้นออกไป ตนยืนยันว่าวินาทีนั้นตนเหมือนคนถูกรุม ตนยินดีรับผิดชอบ

ในส่วนที่ว่าตนขับรถเร็วนั้น ตนขอปฏิเสธ เพราะถนนเส้นนั้นขับรถเร็วไม่ได้ และยิ่งจะมายูเทิร์นด้วยยิ่งมีความเป็นไปไม่ได้เลย เพราะรถทุกคันก็ต้องชลอความเร็วเพื่อยูเทิร์น อีกอย่างพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ชุมชน ขับรถเร็วไม่ได้ ยืนยันว่าทางคู่กรณีหาเรื่องตนก่อน แต่เรื่องการใช้ความรุนแรนตนยอมรับผิด

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อตนมาก เนื่องจากทำให้ทุกคนเข้าใจผิด บ้างคนก็ไปขุดคุ้ยเรื่องเก่า ๆ อย่างประเด็นที่ตนถูกลอบยิงปี 58 นั้น ก็ขุดขึ้นมาพูดกัน กล่าวว่าคนนิสัยอย่างนี้ถึงจะมีคนมาลอบฆ่า ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันแต่ประการใด คดีครั้งนั้นเป็นเรื่องภายในครอบครัวซึ่งจับมาโยงกันได้อย่างไร บางคนก็ขุดประวัติครอบครัวตนมาด่า ซึ่งตนมองว่าเกินไป

ทั้งนี้ถ้าถามว่าตนจะขอโทษทางคู่กรณีหรือไม่ ตนมองว่าการที่เขาเผยแพร่เรื่องราวขนาดนี้แล้ว ตนไม่มีอะไรจะพูด ทำได้แค่ไปแจ้งความที่ สภ.ศรีมหาโพธิ เพื่อลงบันทึกประจำวันในข้อหา บิดเบือนข้อมูล ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะกว่าที่ตนมายืนอยู่ตรงนี้ตนต้องผ่านอะไรมา และตนก็ได้เคยเตือนเขาในวันก่อเหตุว่า ถ้าทำให้ตนเสียชื่อเสียง เขาต้องรับผิดชอบ และต้องรับผิดชอบให้ไหวอีกด้วย และคงไม่มีใครที่จะเสี่ยงเอาตำแหน่งหน้าที่การงานที่ตัวเองสะสมมาทั้งหมดทำร้ายตัวเองได้ลง อย่างไรก็ตามตนอยากจะบอกว่า ถ้าตนผิด ตนยอมให้กฏหมายลงโทษตน แต่ถ้าคู่กรณีผิดก็ต้องให้กฏหมายลงโทษเช่นกัน