จากกรณี น.ส.บูม (นามสมมติ) อายุ 19 ปี ชาว จ.สุรินทร์ ได้เข้าร้องเรียนมูลนิธิปวีณาฯ เนื่องจากได้เลิกรากับ นายวีรชน อายุ 30 ปี สามี ไปมีครอบครัวใหม่ แต่สามีไม่ยอมดูแล ด.ญ.กิ๊บซี่ ลูกสาววัย 4 ขวบ ซึ่งอาศัยอยู่ที่ จ.นครราชสีมาให้ดี มัวแต่ดื่มสุราไม่ยอมทำงาน ปล่อยให้เห็บเข้าไปอยู่ในหูชั้นใน และรอบดวงตาของลูกสาว ไม่ยอมพาไปรักษานั้น
พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครราชสีมา และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปยังบ้านนายวีรชน พบสภาพบ้านเป็นเพิงสังกะสีเก่า ทรุดโทรม เจ้าหน้าที่จึงรับตัวเด็กไปดูทันที
ส่วนกรณี น.ส.บูม (นามสมมติ) ต้องการรับลูกไปเลี้ยงเองนั้น ทางเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมฯ จะต้องมีการประเมินความพร้อมอีกครั้งตามขั้นตอน เนื่องจาก น.ส.บูม (นามสมมติ) มีสามีใหม่ และมีลูกอีก 1 คน วัย 9 เดือน
วันที่ 17 พ.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังบ้านโปร่งสนวน หมู่ 7 ต.ลำเพียก อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา บ้านของนายวีรชน มีสุข อายุ 30 ปี พ่อของ ด.ญ.กิ๊บซี่ เป็นบ้านไม้ผสมสังกะสีชั้นเดียว เลี้ยงสุนัขจรจัดไว้ประมาณ 4-5 ตัว มีลูกสุนัขกับสุนัขโตเต็มวัย โดยทางครอบครัวมีอาชีพเก็บของป่าขาย นายวีรชนพาทีมข่าวเข้าไปดูภายในบ้าน เห็นมุ้งนอนของน้องกิ๊บซี่กับตุ๊กตาวางอยู่ ไม่มีแมลงหรือเห็บใด ๆ
นายวีรชน บอกว่า ตนพบกับอดีตภรรยาในเมืองโคราช ขณะที่ตนทำงานส่งของ จากนั้นอดีตภรรยาก็ได้ย้ายมาอาศัยอยู่กับตนที่บ้าน แต่ขณะที่อยู่ด้วยกัน อดีตภรรยามักจะชอบเล่นโทรศัพท์คุยกับผู้ชายคนอื่นแล้วหนีออกจากบ้าน จนตนต้องไปตามตัวกลับมาหลายครั้ง ไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง
กระทั่งตนกับอดีตภรรยามีลูกสาวด้วยกัน 1 คน หลังจากที่ลูกสาวคลอดออกมาได้ไม่นาน ในขณะที่ตนและครอบครัวขึ้นไปเก็บของป่า อดีตภรรยาของตนก็ได้ทิ้งลูกไว้ที่บ้าน แล้วหนีหายไปติดต่อไม่ได้ ไม่เคยกลับมาเหลียวแลลูกกับตนอีก จนช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา อดีตภรรยาก็เดินทางมาขอเอาตัวลูกสาวไป แต่ตนไม่ยินยอม
อย่างไรก็ตาม อดีตภรรยาอ้างกับเจ้าหน้าที่ว่าตนติดสุรา อ้างว่าตนทำร้ายร่างกาย ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ตนมีปัญหากับอดีตภรรยา เพราะอดีตภรรยาชอบเล่นโทรศัพท์คุยกับชายอื่นเท่านั้น ส่วนเห็บที่เกาะหูและตาของลูกสาว ขอชี้แจงว่าเกิดจากการที่ตนพาลูกสาวไปเก็บของป่าด้วยกัน จนเห็บติดมา เห็บไม่ได้มาจากสุนัข ซึ่งตนได้พาลูกสาวไปพบแพทย์อยู่ตลอด ตนไม่เข้าใจอดีตภรรยาว่าทำไมถึงต้องการตัวลูกสาวในตอนนี้ ทั้งที่ทิ้งหายไปนานกว่า 4 ปี ไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูลูกเลย
นางละออ มีสุข อายุ 57 ปี ย่าของเด็ก บอกว่า ตนรู้สึกตกใจในวันที่เจ้าหน้าที่เดินทางมาแจ้งแล้วพาตัวหลานสาวของตนไป ซึ่งตนได้แต่คิดในใจว่าคงต้องเสียหลาน ต้นตอของเรื่องทั้งหมดเกิดจากการที่แม่ของเด็กต้องการตัวเด็ก ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดู เพราะหนีไปหาผู้ชายคนใหม่ ตนไม่เข้าใจในตัวของอดีตลูกสะใภ้ งานไม่ทำ เอาแต่เล่นโทรศัพท์ ไม่สนใจลูก แล้วตอนนี้จะมาเอาตัวหลานของตนไป "แม่ไม่เคยดูแล พอโตจะมาเอาไป"
ส่วนเรื่องเห็บที่อดีตลูกสะใภ้นำมาเป็นข้ออ้างกับเจ้าหน้าที่ ตนขอชี้แจงว่าตนพาหลานสาวไปเก็บของป่าจนมีเห็บติดมา ซึ่งตนพาหลานสาวไปพบแพทย์อยู่ตลอด ตนเลี้ยงหลานสาวมาด้วยตัวเอง หานมหาขนมให้กิน หาเสื้อผ้ารองเท้ามาให้ใส่ ขณะนี้ตนนอนไม่หลับ และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก "ถึงฉันจะอดอยากยากจน ฉันก็เลี้ยงหลานฉันได้ ไม่ได้ขอทานชาวบ้าน"
นางไสว กระยาย้อย อายุ 65 ปี ชาวบ้าน เผยว่า แม่ของเด็กทิ้งลูกสาวไปตั้งแต่ยังแบเบาะ เพราะหนีไปกับชายอื่น ตนอยู่ในหมู่บ้าน และคุ้นเคยกับครอบครัวของนายวีรชนเป็นอย่างดี โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ครอบครัวของนายวีรชนไม่เคยบังคับให้นางสาวบูม (นามสมมติ) ทำงาน เพียงแต่บางครั้งจะวานให้นางสาวบูมช่วยขายของป่าที่เก็บมาได้ เนื่องจากนางสาวบูมเป็นคนพูดเก่ง
ตนยืนยันได้ว่านายวีรชนไม่เคยทุบตีนางสาวบูม มีแต่นางสาวบูมที่มีท่าทีจะทิ้งนายวีรชนไปหาชายอื่น ซึ่งเมื่อ ด.ญ.กิ๊บซี่ คลอดมาได้ไม่นาน นางสาวบูมก็หนีหายไป ตนมั่นใจว่าต้องหนีไปกับชายคนใหม่ เนื่องจากนางสาวบูมเคยไปหาหอยกับตน แล้วพูดว่ามีผู้ชายมาติดพัน อีกทั้งนางสาวบูมยังได้นำเสื้อผ้ามาฝากทิ้งไว้ที่บ้านตน ก่อนหายตัวไปประมาณ 2 วัน อ้างกับตนว่า "จะไม่อยู่แล้ว เดี๋ยวจะมีคนมารับ"
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนคิดเห็นว่าไม่สมควร เพราะนางสาวบูมไม่เคยสนใจใยดีลูก แต่จะมาพรากเด็กจากย่ากับพ่อ ตนเชื่อว่านางสาวบูมต้องการตัว ด.ญ.กิ๊บซี่ ไปใช้งานช่วยงานบ้าน หรือช่วยเลี้ยงเด็ก เพราะนางสาวบูมเพิ่งมีลูกคนใหม่อายุ 9 เดือน "ถ้าตนเป็นครอบครัวของนายวีรชน ตนก็ไม่ยอมให้ลูกไปอยู่กับนางสาวบูมแน่นอน"
Advertisement