แก้ผ้า รำแก้บน ส่องรากความเชื่อดีลลับกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนแรงก็ต้องแก้แรง ?
เมื่อใดก็ตามที่สังคมไทยมีการพูดถึงการ “แก้บน” ภาพที่ผู้คนมักนึกถึงคือการจัดการแสดงรำถวายครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเทพยดาที่ตนเองเคยบนบานศาลกล่าวเอาไว้ หลายครั้งการแก้บนก็มาในรูปแบบการถวายของ เช่น ไก่ต้ม หัวหมู พวงมาลัย หรือเครื่องเซ่นไหว้อื่น ๆ
แต่สิ่งที่สร้างความสนใจและเป็นที่พูดถึงในสังคมไทยมากที่สุด คือการ “รำแก้บนแบบเปลื้องผ้า” หรือที่ถูกเรียกกันสั้น ๆ ว่า “แก้ผ้า รำแก้บน” ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องน่าตกใจหรือแม้แต่ไม่เหมาะสม แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันสะท้อนให้เห็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมและความเชื่อของสังคมไทยได้อย่างลึกซึ้ง
การบนบานศาลกล่าวมีรากฐานอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะ “สัญญา” หรือ “การแลกเปลี่ยน” มนุษย์เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยเหลือเกื้อหนุนชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจ็บป่วย ความทุกข์ยาก การสอบแข่งขัน หน้าที่การงาน การเกณฑ์ทหาร หรือแม้กระทั่งเรื่องโชคลาภทางการค้าและการเสี่ยงดวง หากคำขอนั้นสัมฤทธิ์ผล ผู้บนย่อมต้อง “รักษาสัญญา” ด้วยการแก้บนตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ นี่คือความหมายดั้งเดิมของการบนบานศาลกล่าวที่ยังคงปรากฏในแทบทุกภูมิภาคของไทย
ที่มาของการแก้บนโดยการรำ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ผูกพันกับวัฒนธรรมการฟ้อนรำและนาฏศิลป์ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน การรำถือเป็นศิลปะที่เชื่อมโยงกับพิธีกรรม ความศักดิ์สิทธิ์ และการสื่อสารกับเทพเทวดาในมิติความเชื่อพื้นบ้าน หลักฐานทางโบราณคดีและศิลปกรรมในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ล้วนสะท้อนว่า “นาฏศิลป์” ไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิง แต่เป็นเครื่องบูชาที่ใช้ในพิธีการศาสนาและความเชื่อ เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วสัมฤทธิ์ผล จึงนิยม “รำถวาย” เป็นการประกาศต่อสาธารณะและต่อเทพยดาว่า ตนรักษาสัญญาและแสดงความกตัญญู
แต่การ “แก้ผ้า รำแก้บน” นั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป แม้รากฐานจะยังคงเป็นการรำถวาย แต่การเปลื้องผ้ากลับเพิ่มมิติของ “ความกล้าได้กล้าเสีย” ลงไปด้วย ซึ่งการ “แก้ผ้า รำแก้บน” มักพบว่ามีการผูกโยงเข้ากับคำบนที่ผู้บนได้ให้ไว้แต่แรก เช่น บางคนบนกับเจ้าพ่อเจ้าแม่ว่า “ถ้าได้งาน จะยอมรำแก้บนไม่ว่าอย่างไร แม้แต่แก้ผ้ารำก็ยอม” เมื่อสมปรารถนา จึงต้องทำตามนั้นเพื่อรักษาสัจจะ
สังคมไทยปัจจุบันมอง “แก้ผ้า รำแก้บน” ด้วยสายตาที่หลากหลาย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมกับศีลธรรมและวัฒนธรรมไทยที่มักเน้นความอ่อนช้อย สงบ เรียบร้อยของการรำแก้บนแบบดั้งเดิม อีกฝ่ายหนึ่งกลับมองว่า การแก้ผ้ารำเป็นเพียงการแสดงออกของความจริงใจแบบสุดโต่ง และเป็น “การรักษาสัญญา” ที่มีค่าในตัวเอง ความอื้อฉาวที่เกิดขึ้นเมื่อใครก็ตามทำการแก้บนในลักษณะนี้ กลายเป็นทั้งบทสนทนาทางสังคม และเป็นเครื่องยืนยันว่า “การบนบานศาลกล่าว” ยังคงฝังรากลึกในวิถีไทย
ท้ายที่สุด การบนบานศาลกล่าวและการแก้บนไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม ล้วนทำหน้าที่เป็น “เครื่องมือทางสังคม” ที่ช่วยยืนยันความศรัทธา สร้างความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยังทำให้ชุมชนได้เห็นพลังของความศักดิ์สิทธิ์ร่วมกัน ความแปลกประหลาดของการ “แก้ผ้า รำแก้บน” จึงไม่ใช่เพียงเรื่องน่าตื่นตระหนก แต่เป็นการเปิดหน้าต่างให้เราได้มองเห็นชั้นเชิงลึกของวัฒนธรรมไทย ที่เต็มไปด้วยความเชื่อ พิธีกรรม ความละอาย ศรัทธา และการรักษาสัจจะในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตามผู้แก้บนต้องพึงตระหนักในแง่ของกฎหมายไว้อย่างเคร่งครัดด้วย สำหรับใครที่ “บนแรง แก้แรง” แบบนี้
บางท่านก็อาจจะมีแนวทาง เช่น นำผ้ามากั้นมิให้เห็นกายเปลือยเปล่า เพราะไม่อย่างนั้นแล้วอาจเข้าข่าย กระทำการอันควรขายหน้าต่อธารกำนัล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 388 มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
Advertisement