
ก้าวร้าว วีนฉ่ำ เพราะอาการ "แพนิก" กำเริบจริงไหม? แยกโรคทางใจออกจากการเลือกกระทำ ก่อนคนป่วยจริงไม่กล้าพูดถึงปัญหาสุขภาพ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สุขภาพจิต กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในพื้นที่สาธารณะ ผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า ซึมเศร้า ไบโพลาร์ วิตกกังวล และ “แพนิก” จนคำเหล่านี้หลุดออกมาจากห้องตรวจแพทย์ สู่โต๊ะสนทนาในชีวิตประจำวัน แต่การพูดถึงที่มากขึ้น ไม่ได้แปลว่าความเข้าใจจะถูกต้องเสมอไป
หนึ่งในความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่พบได้บ่อย คือการนำคำว่า “แพนิก” มาใช้อธิบายหรือปกป้องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ตั้งแต่การแสดงอารมณ์รุนแรง การขาดความรับผิดชอบ ไปจนถึงการละเมิดผู้อื่น จนทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามว่า โรคแพนิกถูกใช้เป็นข้ออ้างหรือไม่ และผู้ป่วยจริงควรถูกมองอย่างไร
บทความนี้จะอธิบายโรคแพนิกในมุมสุขภาพอย่างเป็นระบบ แยกให้ชัดระหว่าง “อาการของโรค” กับ “พฤติกรรมที่เลือกทำ” เพื่อให้การเข้าใจสุขภาพจิต ไม่กลายเป็นการทำร้ายทั้งผู้ป่วยและสังคมโดยไม่ตั้งใจ
โรคแพนิก หรือ Panic Disorder เป็นความผิดปกติทางสุขภาพจิตในกลุ่มโรควิตกกังวล ผู้ป่วยจะมีอาการตื่นตระหนกอย่างเฉียบพลันและรุนแรง เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีภัยคุกคามจริง อาการมักพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที และลดลงภายในประมาณครึ่งชั่วโมง
• หัวใจเต้นเร็วหรือแรงผิดปกติ
• แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม
• รู้สึกชา เหงื่อออก ตัวสั่น มือสั่น
• เวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม
• กลัวตาย กลัวหัวใจวาย
• กลัวควบคุมตัวเองไม่ได้หรือกลัวเสียสติ
สิ่งสำคัญคือ อาการแพนิกไม่ใช่อันตรายต่อชีวิตโดยตรง แม้ความรู้สึกขณะเกิดอาการจะรุนแรงจนผู้ป่วยเชื่อว่าตนเองกำลังเผชิญเหตุฉุกเฉินทางร่างกาย
ในมุมการแพทย์ โรคแพนิกเป็นผลจากความผิดปกติของการทำงานร่วมกันระหว่างสมอง ระบบประสาทอัตโนมัติ และสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน นอร์อิพิเนฟริน และระบบการตอบสนองต่อความกลัวของสมองส่วนอะมิกดาลา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แพนิกคือการที่ร่างกายเปิดสัญญาณเตือนภัยผิดเวลาและรุนแรงเกินความจำเป็น ไม่ใช่ลักษณะบุคลิก นิสัย หรือความตั้งใจของผู้ป่วย
ผู้ป่วยแพนิกส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการเป็นจุดสนใจ ตรงกันข้าม หลายคนพยายามซ่อนอาการ กลั้นความกลัว และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจกระตุ้นอาการ เพราะกลัวว่าจะรบกวนผู้อื่นหรือถูกมองว่า “แปลก”
ความสับสนสำคัญของสังคม คือการเหมารวมอาการแพนิกเข้ากับพฤติกรรมแสดงอารมณ์รุนแรง ทั้งที่ในความเป็นจริง แพนิกกับความโกรธเป็นกลไกทางสมองคนละแบบ
แพนิกคือการตอบสนองต่อความกลัว
ความโกรธคือการตอบสนองต่อความไม่พอใจหรือการคุกคามเชิงสังคม
ในระหว่างอาการแพนิก ผู้ป่วยมักอยู่ในภาวะหวาดกลัว สับสน และพยายามหนีออกจากสถานการณ์ มากกว่าการมุ่งทำร้ายหรือก้าวร้าวต่อผู้อื่น การตะโกน โวยวาย หรือใช้คำพูดรุนแรงอย่างต่อเนื่องโดยรู้ตัว ไม่ใช่ลักษณะจำเพาะของโรคแพนิก และไม่อยู่ในเกณฑ์การวินิจฉัยทางจิตเวช
การเข้าใจสุขภาพจิตอย่างถูกต้อง จำเป็นต้องแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน
อาการของโรค คือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และควบคุมได้จำกัด
พฤติกรรม คือการกระทำที่บุคคลเลือกทำ แม้อยู่ภายใต้ความยากลำบาก
แม้ผู้ป่วยแพนิกอาจมีพฤติกรรมบางอย่างในช่วงอาการ เช่น รีบออกจากสถานที่ หายใจแรง หรือขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน แต่เมื่ออาการสงบ บุคคลยังคงมีความสามารถในการเรียนรู้ ปรับตัว และรับผิดชอบต่อผลของการกระทำของตนเอง
เช่นเดียวกับโรคทางกายอื่น ๆ การมีโรค ไม่ได้ยกเลิกความรับผิดชอบทางสังคมทั้งหมด แต่หมายถึงการต้องได้รับการดูแลและการปรับสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม
การนำคำว่าแพนิกมาใช้อย่างผิดบริบท ส่งผลเสียมากกว่าที่คิด
ประการแรก ทำให้ผู้ป่วยจริงถูกมองว่า “อ้างโรค” หรือ “เล่นใหญ่” ส่งผลให้คนที่ป่วยจริงไม่กล้าเปิดเผยอาการหรือเข้ารับการรักษา
ประการที่สอง ทำให้สังคมสับสนระหว่างโรคทางสุขภาพจิตกับพฤติกรรมไร้มารยาท จนลดทอนความจริงจังของปัญหาสุขภาพจิต
ประการที่สาม ทำให้การพูดเรื่องสุขภาพจิตถูกทำให้ตื้น กลายเป็นคำอธิบายแทนการรับผิดชอบ มากกว่าการเข้าใจเชิงระบบและเชิงการแพทย์
หลักการสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตสมัยใหม่ คือ การให้ความเห็นใจควบคู่กับขอบเขต
การเข้าใจโรคแพนิก หมายถึง
• ยอมรับว่าอาการเกิดขึ้นจริง
• ยอมรับว่าผู้ป่วยไม่ได้เลือกให้เกิดอาการ
• สนับสนุนให้เข้าถึงการรักษาอย่างเหมาะสม
แต่การเข้าใจ ไม่ได้หมายถึง
• การยอมรับพฤติกรรมที่ทำร้ายผู้อื่น
• การยกเลิกความรับผิดชอบทั้งหมด
• การปล่อยให้โรคกลายเป็นเครื่องมือทางสังคม
การแยกอาการออกจากการกระทำ ช่วยทั้งผู้ป่วยและคนรอบข้างให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรม
แนวทางการรักษาโรคแพนิกที่ได้ผลดี ประกอบด้วย
• การรักษาด้วยยา เช่น ยากลุ่ม SSRIs ภายใต้การดูแลของแพทย์
• การบำบัดทางจิตใจ โดยเฉพาะ Cognitive Behavioral Therapy
• การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การนอน การออกกำลังกาย และการหลีกเลี่ยงสารกระตุ้น
ทั้งนี้ เป้าหมายของการรักษา ไม่ใช่แค่ลดอาการ แต่รวมถึงการช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิต ทำงาน และอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพและความรับผิดชอบ
โรคแพนิกคือภาวะทางสุขภาพจิตที่เกิดจากกลไกทางสมองและระบบประสาท ไม่ใช่นิสัย และไม่ใช่เหตุผลของพฤติกรรมไร้มารยาท การเข้าใจโรคอย่างถูกต้อง ต้องแยกอาการออกจากการกระทำ เห็นใจโดยไม่ละทิ้งขอบเขต และสนับสนุนการรักษาอย่างจริงจัง
เมื่อสังคมพูดเรื่องสุขภาพจิตด้วยความรู้ ไม่ใช่อารมณ์ เราจะสามารถปกป้องทั้งผู้ป่วยจริง และคุณภาพความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมไปพร้อมกันได้
อ้างอิง : nimh.nih.gov/ dmh.go.th/ rama.mahidol.ac.th
Advertisement