
วิธีกำจัดเชื้อราภายในบ้านที่ถูกน้ำท่วม อันตรายต่อสุขภาพที่ไม่ควรมองข้ามหลังน้ำลด สิ่งที่เจ้าของบ้านต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน!
หลังน้ำท่วม ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาวิกฤตที่เจ้าของบ้านต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เนื่องจากความเสียหายที่เกิดจากเชื้อราสามารถเริ่มก่อตัวและแพร่สปอร์ได้ภายในระยะเวลาเพียง 24-48 ชั่วโมง หลังวัสดุเปียกน้ำ ความชื้นที่ตกค้างจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีสำหรับจุลินทรีย์หลายชนิด รวมถึงเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อราที่อันตรายและส่งผลกระทบกับสุขภาพได้
เนื่องจากเชื้อรามีศักยภาพในการก่อปัญหาด้านสุขภาพ โดยการผลิตสารก่อภูมิแพ้, สารระคายเคือง และในบางกรณีผลิตสารที่มีความเป็นพิษ การสัมผัสสารเหล่านี้เกิดขึ้นได้หลักจากการสูดดมเชื้อราที่ลอยอยู่ในอากาศ การสัมผัสโดยตรงทางผิวหนัง และการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน
อาการส่วนใหญ่ที่พบจากการสัมผัสเชื้อราจะเป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้หรือการระคายเคือง ซึ่งมักมีอาการคล้ายไข้หวัดหรือไข้ละอองฟาง เช่น จาม, น้ำมูกไหล, คันตา, ตาแดง, ผื่นผิวหนัง สำหรับผู้ที่เป็นโรคหอบหืดอยู่แล้ว การสัมผัสเชื้อราอาจกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืดกำเริบอย่างรุนแรงได้ และอาจมีอาการไอหรือหายใจมีเสียงวี๊ด โดยทั่วไปแล้ว อาการเหล่านี้จะลดลงเมื่อเชื้อราถูกกำจัดออกไปจากพื้นที่อาศัย
อันตรายที่รุนแรงที่สุดมาจากการผลิตสาร ไมโคท็อกซิน (Mycotoxins) ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อราบางชนิด เช่น Stachybotrys chartarum หรือ ราดำ สารพิษเหล่านี้มีความคงทนสูงและทนทานต่อสารฆ่าเชื้อ แม้ว่าตัวเชื้อราจะตายแล้ว แต่ไมโคท็อกซินที่ถูกผลิตออกมายังคงสามารถตกค้างอยู่ในวัสดุก่อสร้างได้ ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารพิษในระยะยาว
อาการจากพิษไมโคท็อกซินอาจไม่จำเพาะเจาะจงและทำให้วินิจฉัยยาก เช่น ปวดศีรษะ, วิงเวียนศีรษะ, คลื่นไส้, ปวดท้อง, ไข้, และภาวะสมองล้า ในกรณีที่ร้ายแรงกว่านั้น ไมโคท็อกซินบางชนิด เช่น แอฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งมักพบในอาหารที่ขึ้นราในสภาพอากาศร้อนชื้น ถูกจัดโดยองค์การอนามัยโลกให้เป็น สารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง การได้รับสารพิษเหล่านี้อย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น มะเร็ง, อาการชัก, หรือเสียชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้การทำความสะอาดเพียงแค่ผิวเผินจึงไม่เพียงพอ เพราะการกำจัดเชื้อราต้องรวมถึงการกำจัดแหล่งสะสมของสารพิษที่ฝังลึกในวัสดุดูดซับความชื้นด้วย
1. สิ่งที่ต้องทิ้งทันที
ได้แก่ พรม, แผ่นรองพรม, ฉนวน, ผนังเบา (Drywall) , เฟอร์นิเจอร์บุผ้า, ที่นอน, หมอน, หนังสือ สิ่งเหล่านี้ควรห่อหุ้มก่อนขนย้าย เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของสปอร์ระหว่างการขนย้าย เนื่องจากเชื้อราและไมโคท็อกซินฝังลึก ไม่สามารถกำจัดออกได้หมด นำไปสู่การเกิดซ้ำและปัญหาสุขภาพระยะยาว ยังรวมถึง เครื่องครัวไม้, เขียง, ตะเกียบไม้ไผ่ ที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนแบคทีเรียจากน้ำท่วมและการสะสมสารพิษที่ล้างออกได้ยาก
2. ทำความสะอาดก่อนนำกลับมาใช้งานอีกครั้ง
ได้แก่ ไม้แข็ง, เครื่องเรือนไม้ สามารถทำความสะอาดด้วยน้ำส้มสายชูขัด (ถ้าจำเป็น) และอบแห้งอย่างรวดเร็ว หากแห้งสนิทและไม่เสียหายมากนัก อาจสามารถฟื้นฟูได้
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แนะนำวิธีกำจัดเชื้อราในบ้าน เอาไว้ดังนี้
1. หน้าต่าง ประตู เเละพื้นกระเบื้อง ใช้แอลกอฮอล์ 70% เทราดหรือฉีดพ่นจนเปียกชุ่ม แล้วเช็ดคราบเชื้อราออก หรือใช้น้ำยาซักผ้าขาวที่มีส่วนผสมของโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 300 มล. ต่อน้ำ 3.8 ลิตร (1 แกลลอน) เช็ดคราบเชื้อรา ทิ้งไว้ 15-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำ
2. พื้นไม้ ใช้ผงฟูละลายน้ำเช็ด หรือใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ดคราบเชื้อราออก
3. เฟอร์นิเจอร์ ใช้ผงฟูละลายน้ำ หรือใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ดคราบเชื้อราออก ผึ่งให้แห้ง และห้ามตากแดดเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้ไม้ หรือพลาสติกเปลี่ยนรูปร่างได้
4. เครื่องปรับอากาศ เช็ดภายนอกด้วยแอลกอฮอล์ 70% ถอดแผ่นกรองแยกเช็ดต่างหาก แล้วทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาด ทำให้แห้ง
5. เสื้อผ้า,พื้นพรม หากพบเชื้อรา ควรทิ้ง
1. หน้ากาก/เครื่องช่วยหายใจ
ควรใช้หน้ากากชนิด N-95 เป็นอย่างน้อย หรือแบบ Half-face Respirator ซึ่งเป็นหน้ากากป้องกันทางเดินหายใจชนิดครึ่งหน้า ที่สวมเฉพาะบริเวณจมูกและปาก สำหรับป้องกันการสูดดมสปอร์เชื้อราและฝุ่นละอองที่ปนเปื้อนสารพิษ (Mycotoxins) ซึ่งเป็นเส้นทางการสัมผัสหลักได้
2. ถุงมือป้องกัน
ชนิดไวนิล, ไนไตรล์ สำหรับป้องกันผิวหนังจากการสัมผัสเชื้อรา สารเคมี และการติดเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัสจากน้ำท่วม
3. แว่นตาป้องกัน
ชนิดปิดสนิท ไม่มีช่องระบายอากาศแบบเปิด ป้องกันดวงตาจากการระคายเคือง สารเคมี และสปอร์ที่ฟุ้งกระจาย
4. ชุดป้องกัน/เสื้อผ้า
ได้แก่ เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว/ชุด Tyvek เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้าม (Cross-contamination) และการนำสปอร์ออกนอกพื้นที่ทำงาน
5. รองเท้า
รองเท้าบูทยาง หรือรองเท้าที่ไม่มีรูพรุน สำหรับป้องกันการสัมผัสกับน้ำปนเปื้อน ของมีคม และการติดเชื้อที่ผิวหนัง เช่น น้ำกัดเท้า
สิ่งสำคัญในการทำความสะอาดบ้านและสิ่งของหลังน้ำลด คือการจัดการพื้นที่เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศที่เพียงพอและลดการฟุ้งกระจายของสปอร์ ด้วยการเปิดประตูและหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศบริสุทธิ์ถ่ายเท ห้ามเปิดพัดลมหรือระบบปรับอากาศ ในขณะที่กำลังทำความสะอาดหรือกำจัดเชื้อรา เนื่องจากความพยายามในการเร่งการทำให้แห้งด้วยวิธีนี้จะทำให้สปอร์เชื้อราที่อยู่บนพื้นผิวถูกพัดพาไปในอากาศและกระจายไปทั่วอาคาร ทำให้เกิดการปนเปื้อนซ้ำและเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูดดม
นอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ ก่อนจะเริ่มขั้นตอนการทำความสะอาดและกำจัดเชื้อราใดๆ เจ้าของบ้านต้องทำการประเมินความเสี่ยงภายในบ้านที่ได้รับผลกระทบอย่างถี่ถ้วน เพื่อป้องกันอันตรายที่ซ่อนอยู่ เช่น
1. ความเสี่ยงทางระบบไฟฟ้า ต้องมั่นใจว่าได้ตัดระบบไฟฟ้าหรือแก๊ส ในบ้านแล้ว เครื่องใช้ไฟฟ้าที่จมน้ำต้องได้รับการตรวจสอบและซ่อมแซมโดยช่างผู้เชี่ยวชาญก่อนนำกลับมาใช้งาน เพื่อหลีกเลี่ยงไฟฟ้าลัดวงจรและความเสียหายในระยะยาว
2. ตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้าง เช่น ฝ้าเพดานหรือพื้นที่มีการแอ่นตัว
3. น้ำท่วมขังมักปนเปื้อนสิ่งปฏิกูล สารเคมี และแบคทีเรีย ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างรุนแรง เช่น โรคฉี่หนู (Leptospirosis) และการติดเชื้อทางผิวหนัง จำเป็นต้องลดการสัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนเหล่านั้น หากการปนเปื้อนเกิดจากน้ำเสียหรือสิ่งปฏิกูล จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียกผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการจัดการน้ำปนเปื้อนมาดำเนินการ
Advertisement