นักวิจัยเก็บตัวอย่าง ถั่วลิสง 60 ตัวอย่าง จากตลาดทั้งค้าปลีกและค้าส่งในกรุงเทพฯ พบถั่วลิสงแทบทั้งหมดปนเปื้อน อะฟลาท็อกซิน ปัจจัยเกิด มะเร็งตับ
วันที่ 3 ก.ย. 2568 หมอเจด นายแพทย์ เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา เผย
"วิจัยไทยเผย! ถั่วลิสง อาหารใกล้ตัว แต่เสี่ยงมะเร็งตับ เวลาพูดถึงมะเร็งตับ หลายคนน่าจะนึกถึงสาเหตุหลักๆ ที่เรานึกถึงคือ “ดื่มเหล้าบ่อย ๆ” ใช่ไหมครับ
ตอนนี้วิจัยจากไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2013–2014) น่าสนใจมาก คนแชร์กันเต็มฟีดเลย เพราะไปตรวจเจอสารพิษแฝงที่ชื่อว่า อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ในถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์ถั่วลิสง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อ มะเร็งตับ
วันนี้มจะเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า งานวิจัยนี้เจออะไร ทำไมมันถึงอันตราย และเราควรระวังยังไง แต่บอกไว้ก่อนนะ ผมไม่ได้ห้ามกินถั่วนะ แต่เราต้องเลือกินดีๆ อ่านให้จบนะครับ เพราะตอนท้ายบอกวิธีเลือก และลดความเสี่ยงอยู่
ใครที่ตามเพจผมเชื่อว่าน่าจะเคยได้ยินชื่อเชื้อรานี้บ้างนะ
อะฟลาท็อกซินคือสารพิษจากเชื้อรา Aspergillus flavus และ A. parasiticus
เชื้อรานี้ชอบโตในอาหารที่เก็บไว้นานและมีความชื้น เช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง ข้าว
สิ่งที่น่ากลัวคือ องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดอะฟลาท็อกซินเป็น สารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 (Group 1 carcinogen
) มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งตับในมนุษย์
ถ้าใครมีโรคตับอยู่แล้ว เช่น ไวรัสตับอักเสบ B หรือ C ความเสี่ยงจะสูงขึ้นไปอีกหลายเท่า
นักวิจัยเก็บ ตัวอย่างถั่วลิสง 60 ตัวอย่าง จากตลาดทั้งค้าปลีกและค้าส่งในกรุงเทพฯ แล้วเอามาตรวจวิเคราะห์
ผลคือ
•ถั่วดิบ: 80% พบปนเปื้อน
•ถั่วคั่วและถั่วบด: 100% เจอทุกตัวอย่าง
•ถั่วบด: ปริมาณสูงสุด 362.48 ng/g (เฉลี่ย ~68 ng/g)
•ถั่วคั่ว: ค่าเฉลี่ย ~18 ng/g แต่ก็ยังเจอทุกตัวอย่าง
พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือถั่วลิสงในตลาดแทบทั้งหมดปนเปื้อน เพียงแต่อยู่ในระดับต่างกัน โดยเฉพาะ ถั่วบด ที่เสี่ยงที่สุด
งานวิจัยประเมินว่า
•คนทั่วไปได้รับสารนี้จากถั่วบดมากกว่าถั่วชนิดอื่นหลายเท่า
•เด็กเล็ก ได้รับสารมากกว่าผู้ใหญ่เกือบ 2.5 เท่า เพราะตัวเล็กแต่กินถั่วบดในปริมาณพอ ๆ กัน
เมื่อคำนวณความเสี่ยง → ประมาณ 0.01–0.12 ราย/แสนคน/ปี
อาจดูเป็นตัวเลขเล็ก ๆ แต่พอคิดว่าคนไทยกินถั่วแทบทุกวัน ทั้งส้มตำ น้ำพริก ผัดไทย… ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยครับ
หลายคนอาจคิดว่ากินถั่วน้อยก็จบ แต่จริง ๆ แล้วสารนี้ยังเจอในอาหารอื่น ๆ อีก โดยเฉพาะของที่เก็บไว้นานและเสี่ยงขึ้นรา เช่น
•ข้าวโพด → ถ้าใช้ทำอาหารสัตว์ ก็อาจสะสมในเนื้อสัตว์/นม
•พริกแห้ง สมุนไพรแห้ง → ถ้าตากแดดไม่พอหรือเก็บไม่ถูกวิธี
•ข้าว → โดยเฉพาะข้าวเก่าหรือข้าวที่เก็บในโกดังชื้น
•นมและผลิตภัณฑ์นม → เจอได้ในรูป Aflatoxin M1 เพราะวัวกินอาหารปนเปื้อน
ข้อมูลจาก FAO ยังบอกว่า การได้รับอะฟลาท็อกซินของคนไทยกว่า 90% มาจาก “ถั่วลิสง” นี่แหละ เราเลยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
1. ไม่ได้ห้ามกินถั่วนะครับ → ถั่วลิสงยังมีประโยชน์ โปรตีน ไขมันดี ใยอาหาร แต่ต้อง “เลือกให้ดี กินให้พอดี เก็บให้ถูก”
2. เลี่ยงอาหารที่เสี่ยงขึ้นรา เช่น ถั่วที่เก็บไว้นาน มีจุดดำ หรือกลิ่นอับ
3. วิธีเก็บสำคัญ → เก็บในที่แห้ง เย็น ปิดสนิท
4. กลุ่มที่ต้องระวังเป็นพิเศษ → เด็กเล็ก คนมีโรคตับ หรือพาหะไวรัสตับอักเสบ
5. ระดับประเทศ → ต้องเข้มงวดเรื่อง GAP และตรวจคุณภาพจริงจัง
ผมเองก็กินถั่วบ่อยนะ เดี๋ยวสรุปให้ฟังว่าจะเลือกกินถั่วยังไง
•เลือกถั่วจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ มีบรรจุภัณฑ์ชัดเจน
•ไม่ซื้อถั่วที่มีคราบดำ จุดขึ้นรา หรือกลิ่นผิดปกติ
•ถั่วคั่วใหม่ ๆ จะเสี่ยงน้อยกว่าถั่วเก่าที่เก็บไว้นาน
•เก็บถั่วในภาชนะปิดสนิท วางในที่แห้งและเย็น
•ถ้ามีเชื้อรา แม้เล็กน้อย ควรทิ้งทันที ไม่ควรตัดส่วนที่เสียออกแล้วกินต่อ
•อะฟลาท็อกซินทนความร้อน การคั่วหรือปรุงอาหารทั่วไปทำลายได้ไม่มาก
ฝากนะทุกคน งานวิจัยไทยเจอว่า ถั่วลิสงเกือบทั้งหมดในตลาดปนเปื้อนอะฟลาท็อกซิน โดยเฉพาะถั่วบดที่มีสารสูงมาก กินบ่อย ๆ เสี่ยงมะเร็งตับได้
แต่ก็ต้องย้ำว่า มะเร็งตับไม่ได้เกิดจากอะฟลาท็อกซินอย่างเดียว ปัจจัยเสี่ยงอื่นก็สำคัญ เช่น
• ไวรัสตับอักเสบ B และ C
• ไขมันพอกตับ (NAFLD/NASH)
• การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากลดความเสี่ยงจริงๆ ไม่ใช่แค่เลือกถั่วให้ปลอดภัย แต่ต้องดูแลตับรอบด้าน เช่น ตรวจสุขภาพตับประจำปี คุมน้ำหนัก ลดหวานมัน เค็ม คุมเบาหวาน ความดัน และงดเหล้าเบียร์ไปด้วยครับ แบบนี้จะลดความเสี่ยงมะเร็งตับได้เยอะเลย"
Advertisement