
หนาวนี้ต้องระวัง โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ภัยสุขภาพที่มาพร้อมความเย็น รู้สาเหตุและการเตรียมตัวป้องกันนาทีทองแห่งชีวิต ก่อนสายเกินแก้
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก (Stroke) ยังคงเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญและมีความท้าทายอย่างมากในประเทศไทย จากข้อมูลสถิติระบาดวิทยาของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ในประเทศไทยปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าโรคนี้ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประเทศไทย รองจากโรคมะเร็ง (ตามรายงานของรัฐบาลและกรมควบคุมโรค) ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่ปีละ กว่า 3 แสนราย (ข้อมูลปี 2566 โดยกรมควบคุมโรค) และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (1 ตุลาคม 2566-1 สิงหาคม 2567) มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคนี้แล้ว 35,116 ราย คิดเป็นเฉลี่ย วันละประมาณ 100 คน
โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย ข้อมูลในช่วงปี 2567 ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มอายุ 18-39 ปี มีจำนวนผู้ป่วยขยายตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของโรคที่เกิดในวัยทำงาน ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มีความท้าทายอย่างมากในประเทศไทย เนื่องจากเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและความพิการที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลจาก สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association) ยืนยันว่า อุณหภูมิที่เย็นลงสามารถจำกัดหลอดเลือดและทำให้เลือดข้นขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
โดยมีผลการศึกษาวิจัยในปี 2016 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Stroke and Cerebrovascular Diseases ได้ ทำการสำรวจผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบเกือบ 172,000 รายที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา และพบว่าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยขึ้นในช่วงที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยเย็นกว่า และเมื่ออุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
การศึกษาวิจัยของเยอรมันที่ตีพิมพ์ในปีเดียวกันในวารสาร European Journal of Epidemiology พบว่าอุณหภูมิที่ลดลงทุกๆ 2.9 องศาเซลเซียสภายใน 24 ชั่วโมง จะทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 และยังมีอัตราที่สูงขึ้นสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้วด้วย
หรือแม้แต่การศึกษาวิจัยผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 56,000 รายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาในเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล พบว่าอุณหภูมิที่ลดลงอาจทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ในปี 2561 ก็ช่วยยืนยันว่าความเย็นเป็นตัวกระตุ้นที่ซับซ้อน ซึ่งส่งผลต่อระบบไหลเวียนของเลือดอย่างรุนแรง
1. ภาวะหลอดเลือดหดตัวและความดันโลหิตสูง (Vasoconstriction)
เมื่อร่างกายสัมผัสกับอากาศเย็น ระบบประสาทอัตโนมัติจะสั่งการให้หลอดเลือดส่วนปลายเกิดการหดตัว (Vasoconstriction) อย่างรวดเร็ว เพื่อลดการสูญเสียความร้อน การหดตัวของหลอดเลือดทั่วร่างกายนี้ทำให้แรงต้านทานในหลอดเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ความดันที่สูงขึ้นนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้หลอดเลือดที่เสื่อมสภาพในสมองเกิดการฉีกขาด (นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองแตก) หรือทำให้คราบไขมันหลุดไปอุดตัน (นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองตีบ)
2. ภาวะเลือดข้นหนืด (Increased Blood Viscosity)
นอกจากความดันแล้ว ความเย็นยังมีผลต่อคุณสมบัติทางเคมีของเลือด ทำให้เลือดมีความข้นหนืด (Blood Viscosity) เพิ่มสูงขึ้น ทำให้การไหลเวียนช้าลง ภาวะนี้ถูกเรียกขานว่าเป็นสาเหตุเงียบของโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ เมื่อเลือดข้นการไหลเวียนจะช้าลง ซึ่งส่งเสริมให้เกิดการจับตัวของลิ่มเลือดและเกล็ดเลือดง่ายขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดสมองได้ง่ายกว่าปกติ
3. Morning Surge
หรือภาวะความดันโลหิตสูงพุ่งสูงขึ้นในตอนเช้า เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ ช่วงเวลาวิกฤตยามเช้าความเสี่ยงสูงสุดไม่ได้มาจากความเย็นโดยรวม แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิฉับพลัน การลุกจากที่นอนที่อบอุ่นสู่สภาพอากาศเย็นจัดในตอนเช้าตรู่ อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะ Morning Surge ซึ่งเป็นช่วงที่ความดันโลหิตของผู้ป่วยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมองที่สุด
- ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ที่มีประวัติ ความดันโลหิตสูง (ซึ่งมักควบคุมได้ยากขึ้นในหน้าหนาว), เบาหวาน, หรือ ไขมันในเลือดสูง
- ผู้มีประวัติโรคหลอดเลือดเดิม ผู้ที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือเคยมีภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะมาก่อน
- ควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ สวมใส่เสื้อผ้าที่หนาให้ความอบอุ่นตลอดเวลา ในเวลากลางคืน ควรสวมชุดนอนและห่มผ้าให้เพียงพอ เพื่อป้องกันการหดตัวของหลอดเลือดและการพุ่งสูงของความดันโลหิตจากความเย็น
- ปรับตัวให้ช้าลงในช่วงเช้า ลุกจากที่นอนอย่างช้าๆ และสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่นทันทีที่ตื่นนอน ควรหลีกเลี่ยงการลุกออกจากผ้าห่มอย่างกะทันหัน เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวกับอุณหภูมิภายนอก และป้องกันภาวะ Morning Surge
- ห้ามอาบน้ำเย็นเด็ดขาด ควรอาบน้ำอุ่น และหากเป็นไปได้ ควรปรับอุณหภูมิห้องน้ำให้ไม่เย็นจัดก่อนอาบน้ำ การสัมผัสน้ำเย็นฉับพลันทำให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรุนแรงและเพิ่มความเสี่ยงต่อสโตรก
- ดื่มน้ำและทานยาอย่างเคร่งครัดในผู้ที่มีประวัติป่วยโรคเรื้อรัง การดื่มน้ำสะอาดหรือเครื่องดื่มอุ่นๆ ให้เพียงพอตลอดวัน เพื่อลดความข้นหนืดของเลือด ต้องทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ห้ามหยุดยาเอง เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและเลือดข้นหนืด และควบคุมความดันโลหิตให้คงที่ตลอดเวลา
สิ่งที่ชี้ขาดโอกาสรอดชีวิตและการฟื้นตัวคือ ความเร็ว ดังนั้นจึงควรจดจำสัญญาณเตือนง่ายๆ ตามหลัก B-E-F-A-S-T จากอาการที่สังเกตได้ ดังนี้
B - Balance การทรงตัวเวียนศีรษะ หรือมีอาการเดินเซอย่างกะทันหัน
E - Eyes การมองเห็น การมองเห็นผิดปกติอย่างเฉียบพลัน เช่น มองไม่ชัดหรือเห็นภาพซ้อน
F - Face ใบหน้า ใบหน้าเบี้ยว มุมปากตก หรือยิ้มแล้วไม่เท่ากัน
A - Arm แขน/ขา แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ชา หรือยกไม่ขึ้น
S - Speech การพูด พูดไม่ชัด พูดลำบาก หรือสื่อสารไม่เข้าใจ
T - Time เวลา บันทึกเวลาที่เริ่มมีอาการ และต้อง รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
หากพบอาการเหล่านี้ ให้รีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 ทันที เพื่อนำผู้ป่วยเข้ารับการรักษาภายในช่วงเวลาทอง คือ 3 - 4.5 ชั่วโมงแรก หลังจากเริ่มมีอาการ เพราะการรักษาที่ทันท่วงทีในนาทีทองนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความเสี่ยงต่อความพิการถาวรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
อ้างอิง :
American Heart Association , โรงพยาบาลพญาไท , Springer Nature
Advertisement