แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ ใช่หมอหรือเปล่า เย็บแผลได้ไหม ขอบเขตวิชาชีพต่างจาก "แพทย์" อย่างไรบ้าง
ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ระบบสาธารณสุขของไทยไม่ได้พึ่งพาเฉพาะการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ยังหันกลับมาฟื้นฟูและพัฒนา “แพทย์แผนไทย” และ “แพทย์แผนไทยประยุกต์” เพื่อใช้ควบคู่กัน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐที่มักมี “คลินิกการแพทย์แผนไทย” ให้บริการ ทั้งด้านการนวดไทย เวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย และการผดุงครรภ์แผนไทย
แพทย์แผนไทยประยุกต์ จึงเป็นกำลังสำคัญในการเติมเต็มระบบสุขภาพ มีทั้งการดูแลรักษา ส่งเสริม ป้องกันโรค และการฟื้นฟูสุขภาพ โดยอาศัยองค์ความรู้ดั้งเดิมผสมผสานกับหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์
ปัจจุบันมีหลายมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตร แพทย์แผนไทยประยุกต์บัณฑิต (พท.บ.) อยู่ภายใต้คณะสาธารณสุขศาสตร์ แพทยศาสตร์ หรือคณะสหเวชศาสตร์ เช่น
• มหาวิทยาลัยมหิดล – คณะการแพทย์แผนไทย
• มหาวิทยาลัยขอนแก่น – คณะสาธารณสุขศาสตร์ สาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์
• มหาวิทยาลัยนเรศวร – คณะสาธารณสุขศาสตร์
• มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ – คณะการแพทย์แผนไทย
• มหาวิทยาลัยราชภัฏ และราชมงคลหลายแห่ง – มีการเปิดสอนในรูปแบบวิทยาลัยการแพทย์แผนไทยหรือคณะสาธารณสุขศาสตร์ โดยทั่วไป หลักสูตรจะใช้เวลาเรียน 4 ปี มีทั้งภาคทฤษฎี ปฏิบัติการ และการฝึกงานในโรงพยาบาล
เนื้อหาของการเรียนการสอนจะประกอบด้วย 4 สาขาหลักที่เป็น “ขอบเขตวิชาชีพ” ตามที่สภาการแพทย์แผนไทยกำหนด ได้แก่
1. เวชกรรมไทย – การวินิจฉัยและรักษาโรคด้วยวิธีแผนไทย เช่น การจับชีพจร ดูลักษณะอาการ การใช้ตำรับยา การนวดบำบัด
2. เภสัชกรรมไทย – การปรุงยาแผนไทย การใช้สมุนไพร การวิเคราะห์ตัวยาตามตำรับโบราณควบคู่หลักฐานสมัยใหม่
3. ผดุงครรภ์ไทย – การดูแลสตรีตั้งครรภ์ การคลอด การอยู่ไฟ และการบำบัดฟื้นฟูสตรีหลังคลอด
4. นวดไทย – การนวดเพื่อบำบัด ฟื้นฟูสุขภาพ และส่งเสริมการผ่อนคลาย
นักศึกษาจะได้เรียนทั้ง วิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมถึงวิชาเฉพาะทางของแผนไทย เช่น ตำราการแพทย์แผนโบราณ ประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทย และการประยุกต์ใช้ความรู้กับผู้ป่วยจริง
เมื่อสำเร็จการศึกษาและสอบใบประกอบวิชาชีพจาก สภาการแพทย์แผนไทย จะสามารถทำงานในหลายสายงาน เช่น
• ทำงานในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน – ปฏิบัติงานใน “คลินิกการแพทย์แผนไทย” หรือ “ศูนย์การแพทย์แผนไทย”
• เปิดสถานพยาบาลแผนไทยของตนเอง – เช่น คลินิกนวดบำบัด ร้านยาสมุนไพร คลินิกสุขภาพองค์รวม
• งานด้านสาธารณสุข – สนับสนุนงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคในชุมชน
• งานวิจัยและพัฒนาสมุนไพร – ร่วมกับหน่วยงานรัฐหรือเอกชนที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ยาไทย อาหารเสริม เครื่องสำอาง
• งานด้านการศึกษา – เป็นอาจารย์ นักวิชาการ หรือนักวิจัยด้านแพทย์แผนไทย
แพทย์แผนไทยประยุกต์ มีขอบเขตการปฏิบัติที่ชัดเจนตามกฎหมาย ได้แก่
• เวชกรรมไทย
• ใช้สมุนไพรหรือวิธีการบำบัดตามตำรับไทย
• บำบัดอาการที่เกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อ ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินหายใจบางชนิด
• เภสัชกรรมไทย
• จัดทำตำรับยาไทย
• ปรุงยาแผนไทยและสมุนไพร
• ให้คำปรึกษาเรื่องการใช้สมุนไพร
• ผดุงครรภ์ไทย
• ดูแลสตรีมีครรภ์
• ดูแลการคลอด (ตามขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต)
• การอยู่ไฟ ฟื้นฟูหลังคลอด
• นวดไทย
• นวดเพื่อรักษาอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ
• นวดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ
• นวดเพื่อการผ่อนคลายและส่งเสริมสุขภาพ
ข้อจำกัดที่ควรรู้ : แพทย์แผนไทยประยุกต์ ไม่สามารถเย็บแผล ทำหัตถการผ่าตัด ฉีดยา หรือรักษาโรคฉุกเฉินขั้นวิกฤต ได้ เพราะขอบเขตเหล่านี้เป็นของแพทย์แผนปัจจุบันโดยตรง
ปัจจุบัน “แพทย์แผนไทยประยุกต์” กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้นในระดับโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ส่งเสริมให้ประเทศต่างๆ ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับระบบสุขภาพหลัก ในประเทศไทยเอง รัฐบาลได้บรรจุบริการแพทย์แผนไทยไว้ใน สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสการทำงานของบัณฑิตสายนี้อย่างกว้างขวาง
อนาคตของสายงานนี้จึงไม่ได้จำกัดแค่การรักษาในโรงพยาบาล แต่ยังครอบคลุมถึง ธุรกิจสุขภาพ อุตสาหกรรมสมุนไพร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการวิจัยนวัตกรรม อีกด้วย
แพทย์แผนไทยประยุกต์ เป็นอาชีพที่อยู่กึ่งกลางระหว่างศาสตร์โบราณกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ผู้เรียนจะได้ทั้งความรู้ด้านสาธารณสุข วิทยาศาสตร์สุขภาพ และภูมิปัญญาไทยดั้งเดิม จบแล้วสามารถทำงานได้หลากหลาย ตั้งแต่โรงพยาบาล ราชการ เอกชน ไปจนถึงการประกอบธุรกิจของตนเอง
แต่สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึง ขอบเขตวิชาชีพ ไม่ก้าวล้ำไปทำหัตถการที่เป็นของแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น การเย็บแผล การผ่าตัด หรือการรักษาฉุกเฉิน ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่
กล่าวได้ว่า “แพทย์แผนไทยประยุกต์” คือฟันเฟืองที่ช่วยเชื่อมโลกแห่งภูมิปัญญากับโลกวิทยาศาสตร์ ทำให้การดูแลสุขภาพของประชาชนมีมิติกว้างขึ้น และตอบโจทย์ทั้งด้านการรักษาเชิงป้องกัน ฟื้นฟู และองค์รวม
ตาม พระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงข้อกำหนดของ สภาการแพทย์แผนไทย ระบุไว้ชัดว่า ผู้ที่สำเร็จการศึกษาและได้รับใบอนุญาตเป็น “ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย” หรือ “ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์” สามารถใช้ตำแหน่งทางวิชาชีพว่า
• แพทย์แผนไทย
• แพทย์แผนไทยประยุกต์
แต่ ไม่สามารถเรียกตนเองว่า “แพทย์” หรือ “หมอ” ตามกฎหมายเดียวกับแพทย์แผนปัจจุบัน (แพทย์ MD) ได้
เว้นแต่มีการใช้ในเชิงทั่วไป เช่น คนไข้เรียกติดปากว่า “หมอแผนไทย” หรือ “หมอนวด” ซึ่งสังคมเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงแพทย์แผนปัจจุบัน
ดังนั้น
• ในเอกสารราชการ ใบอนุญาต หรือการโฆษณา ห้ามใช้คำว่า “หมอ” หรือ “แพทย์” โดยไม่มีคำกำกับว่าแผนไทย/แผนไทยประยุกต์ มิฉะนั้นอาจผิดกฎหมายว่าด้วยการโฆษณาและการแอบอ้างวิชาชีพ
• แต่ในทางปฏิบัติ คนทั่วไปนิยมเรียก “หมอแผนไทย” ซึ่งเป็นการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ไม่ถือว่าผิด หากไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าบุคคลนั้นเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน
สรุปคือ
• เรียกว่า แพทย์แผนไทยประยุกต์ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
• เรียกติดปากว่า “หมอแผนไทย” ได้ แต่ไม่ควรใช้คำว่า “หมอ” หรือ “แพทย์” โดยลำพัง เพราะอาจทำให้สับสนกับแพทย์แผนปัจจุบัน
รวบรวมข้อมูลจาก :
• พระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2556
• ข้อบังคับสภาการแพทย์แผนไทย ว่าด้วยการศึกษาต่อเนื่องของการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2563
Advertisement