เครียดแต่ไม่รู้ตัว ปล่อยไว้นานจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย เช็ก 5 สัญญาณคุณกำลัง “เครียดไม่รู้ตัว” วิธีรับมือ ปรับอารมณ์สู่สมดุล
ความเครียด เป็นสิ่งที่เราทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นกลไกธรรมชาติที่สมองและร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่กดดันหรือคุกคาม แต่สิ่งที่อันตรายกว่าความเครียดที่เรารู้สึกชัดเจน คือ “ความเครียดที่เราไม่รู้ตัว” หรือความเครียดที่ค่อยๆ สะสมโดยไม่ทันสังเกต จนในที่สุดมันกัดกร่อนทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างอย่างช้าๆ ราวกับสนิมที่กัดเหล็กเงียบๆ
หลายคนมักจะมองว่าความเครียดคือการที่เรานั่งกุมขมับ รู้สึกกดดัน หัวใจเต้นแรง หรือตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดตลอดเวลา แต่ความจริงแล้วความเครียดจำนวนมากในชีวิตประจำวันไม่ได้มาในรูปแบบนั้น มันอาจซ่อนตัวอยู่ในอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่เราคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา เช่น ปวดหัวเรื้อรัง นอนหลับไม่สนิท ระบบย่อยอาหารรวน หรือหงุดหงิดง่ายจนคนรอบตัวเริ่มสังเกต แต่ตัวเราเองกลับไม่เชื่อมโยงว่าทั้งหมดนั้นเกิดจาก “ความเครียด”
ในทางชีววิทยา เมื่อสมองประเมินว่ามีสิ่งที่กดดัน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) และอะดรีนาลีน (adrenaline) ออกมาเพื่อเตรียมพร้อมในการ “สู้หรือหนี” หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และกล้ามเนื้อเกร็งตัวเพื่อพร้อมต่อการรับมือ แต่หากสถานการณ์กดดันนั้นยืดเยื้อหรือเกิดขึ้นซ้ำๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ร่างกายจะอยู่ในภาวะคอร์ติซอลสูงต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ตามมาคือภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ระบบเผาผลาญพัง สมองเหนื่อยล้า และอวัยวะต่างๆ ถูกทำลายทีละน้อย
ความน่ากลัวคือ ความเครียดแบบนี้มักไม่แสดงออกอย่างรุนแรง แต่จะค่อยๆ ปรากฏเป็นอาการเรื้อรัง เช่น ปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ มีปัญหาท้องผูกหรือท้องเสียโดยหาสาเหตุไม่เจอ หรือแม้กระทั่งโรคผิวหนังอย่างผื่นลมพิษที่กำเริบตอนร่างกายอ่อนแอ ทั้งหมดนี้มักถูกมองว่าเป็น “อาการเล็กน้อย” และถูกมองข้ามไป
ด้านจิตใจเองก็มีสัญญาณชัดเจน ความเครียดที่ไม่รู้ตัวอาจทำให้เราเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนโดยไม่มีเหตุผล รู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องเล็กน้อย หรือหมดพลังใจแม้ไม่ได้ทำงานหนัก ความจำสั้น สมาธิสั้น คิดอะไรไม่ออก มักเป็นอาการที่บ่งชี้ว่าสมองกำลังเหนื่อยจากความกดดันที่เรามองไม่เห็น
ในหลายกรณี ผู้คนอาจตีความผิดว่า “ฉันแค่แก่ลงเลยลืมง่าย” หรือ “ฉันแค่พักผ่อนน้อยเลยหงุดหงิด” แต่จริงๆ แล้วนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าจิตใจกำลังสะสมความเครียดโดยไม่ทันได้รู้ตัว ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน อาจกลายเป็นภาวะซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลได้
ความเครียดที่ไม่รู้ตัวไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเราเอง แต่ยังแผ่รัศมีไปกระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน เราอาจพูดจาห้วนๆ กับเพื่อนร่วมงาน หงุดหงิดใส่คนในครอบครัว หรือปลีกตัวออกจากสังคมโดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วต้นตอมาจากภายในตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์อาจแตกร้าว ทั้งๆ ที่สาเหตุจริงๆ คือ “ความเครียดที่ไม่เคยถูกยอมรับหรือจัดการ”
เหตุผลหลักมีอยู่หลายข้อ
1. ความเคยชิน – บางคนอยู่กับความกดดันตลอดเวลา จนร่างกายและจิตใจเรียนรู้ที่จะปรับให้มันกลายเป็น “ความปกติใหม่” และคิดว่าตัวเองไม่ได้เครียด
2. การปฏิเสธ – คนจำนวนมากมองว่าการยอมรับว่าตัวเองเครียดเท่ากับว่า “อ่อนแอ” จึงพยายามบอกตัวเองว่าไม่ได้เป็นอะไร ทั้งที่ร่างกายกำลังส่งสัญญาณชัดเจน
3. การขาดความรู้ – หลายคนไม่รู้ว่าความเครียดสามารถแสดงออกผ่านร่างกาย เช่น ปวดท้องหรือผิวหนังอักเสบ ทำให้ไปโฟกัสที่โรคทางกายมากกว่าจะย้อนมองจิตใจ
4. ชีวิตเร่งรีบ – ในสังคมที่เต็มไปด้วยเป้าหมาย การแข่งขัน และหน้าที่ ความรู้สึกเครียดมักถูกกลบด้วยการ “ทำต่อไป” จนไม่มีเวลาสังเกตตนเอง
งานวิจัยมากมายยืนยันว่าความเครียดเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และแม้กระทั่งมะเร็ง ความเครียดยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย หรือฟื้นตัวจากโรคต่างๆ ช้าลง ขณะเดียวกันสุขภาพจิตที่ถูกกดทับจากความเครียดสะสมอาจพัฒนาไปสู่โรคซึมเศร้า วิตกกังวล หรือภาวะหมดไฟ (burnout) ได้
ลองถามตัวเองง่ายๆ
• ช่วงนี้นอนหลับสนิทไหม หรือตื่นกลางดึกบ่อย
• มีอาการปวดหัว คอ บ่า ไหล่ตึงบ่อยขึ้นหรือไม่
• รู้สึกหงุดหงิดง่ายกว่าปกติหรือเปล่า
• เวลาทำงานสมาธิหลุด คิดอะไรไม่ออกบ่อยแค่ไหน
• น้ำหนักหรือความอยากอาหารเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติไหม
หากคำตอบคือ “ใช่” หลายข้อ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าเรากำลังเผชิญความเครียดที่ไม่เคยยอมรับ
การรับรู้คือก้าวแรก เมื่อรู้แล้วว่าร่างกายและใจเริ่มส่งสัญญาณ ก็ถึงเวลาลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น
• จัดเวลาพักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อระบายฮอร์โมนความเครียด
• ฝึกหายใจลึกๆ ทำสมาธิ หรือใช้เทคนิคผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
• พูดคุยกับเพื่อน คนในครอบครัว หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
• ลดการเสพข่าวหรือสิ่งกระตุ้นที่ทำให้วิตกเกินความจำเป็น
“เครียดไม่รู้ตัว” อันตรายตรงที่เราอาจปล่อยให้มันสะสมโดยไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา แต่เมื่อสะสมมากพอ มันจะกัดกร่อนทั้งสุขภาพกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ในชีวิต
การสังเกตสัญญาณเล็กๆ จากร่างกายและอารมณ์ และการยอมรับว่านี่คือ ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ และการปรับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน อาจเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดก่อนที่ความเครียดจะกลายเป็นปัญหาใหญ่
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
1. World Health Organization (WHO). Stress. Retrieved from: https://www.who.int/news-room/questions-and-answers/item/stress
2. American Psychological Association (APA). Stress effects on the body. Retrieved from: https://www.apa.org/topics/stress/body
3. Harvard Health Publishing, Harvard Medical School. The long-term effects of stress. Retrieved from: https://www.health.harvard.edu/staying-healthy/the-long-term-effects-of-stress
4. National Institute of Mental Health (NIMH). 5 Things You Should Know About Stress. Retrieved from: https://www.nimh.nih.gov/health/publications/stress
5. McEwen, B. S. (2006). Protective and damaging effects of stress mediators: central role of the brain. Dialogues in Clinical Neuroscience, 8(4), 367–381.
Advertisement