เปิด 6 โรคที่ได้ประโยชน์จากการใช้กัญชาทางการแพทย์ หลัง รมว.สาธารณสุขลงนามไม่เสรีอีกต่อไป เน้นใช้ทางการแพทย์เท่านั้น
จากกรณีที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ปี 2568 ไม่เสรีอีกต่อไป เน้น “ใช้ทางการแพทย์เท่านั้น” และยังห้ามจำหน่ายในสถานที่ประกอบการ เว้นแต่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมาย ห้ามจำหน่ายหรือแปรรูปเพื่อการค้าในตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติหรือผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ห้ามโฆษณา และห้ามจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ อาทิ วัด หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก เป็นต้น
กัญชาทางการแพทย์ (Medical Cannabis) คือ การนำกัญชาหรือสารสกัดจากกัญชามาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษา บรรเทาอาการ หรือปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ภายใต้การดูแลและสั่งจ่ายของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
หัวใจสำคัญของ "กัญชาทางการแพทย์" คือ การใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมายและมีมาตรฐาน ซึ่งแตกต่างจากการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ (recreational use) หรือการใช้ที่ไม่ได้รับการควบคุมดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์
สถาบันกัญชาการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เผย 6 โรคที่ได้ประโยชน์จากการใช้กัญชาทางการแพทย์ ได้แก่
1.ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด
สำหรับ กัญชาทางการแพทย์ นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังได้รับความสนใจในการนำมาใช้เพื่อ ลดอาการคลื่นไส้และอาเจียนจากเคมีบำบัด โดยเฉพาะในรายที่ยามาตรฐานไม่สามารถควบคุมอาการได้ หรือผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมาก
สารสำคัญในกัญชา โดยเฉพาะ THC (Tetrahydrocannabinol) มีฤทธิ์ช่วยลดอาการคลื่นไส้และอาเจียนได้ดี โดยออกฤทธิ์ที่ตัวรับในสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการอาเจียน และยังช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ทำให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้นและลดภาวะน้ำหนักลดได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม การใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อวัตถุประสงค์นี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นครับ เพื่อประเมินความเหมาะสม กำหนดปริมาณที่ถูกต้อง และติดตามผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการง่วงซึม วิงเวียน หรือผลต่อจิตประสาท
2.โรคลมชักที่รักษายากในเด็กและโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา
สำหรับ โรคลมชักที่รักษายากในเด็กและโรคลมชักที่ดื้อต่อยา กัญชาทางการแพทย์ โดยเฉพาะสาร Cannabidiol (CBD) ได้รับการศึกษาและรับรองให้ใช้ในการรักษาในบางประเทศ สำหรับกลุ่มอาการลมชักที่รุนแรงและดื้อต่อยา โดยมีหลักฐานจากการวิจัยพบว่า CBD สามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการชักลงได้ในผู้ป่วยบางรายที่ตอบสนองต่อยามาตรฐานได้ไม่ดี
การใช้กัญชาทางการแพทย์ในกรณีเหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและโรคลมชัก เพื่อประเมินความเหมาะสม ขนาดยาที่ถูกต้อง และเฝ้าระวังผลข้างเคียง
3.ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง (Spasticity) เป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยและสร้างความท้าทายอย่างมากในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis: MS) โรค MS เป็นโรคเรื้อรังที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายปลอกไมอีลิน (Myelin Sheath) ซึ่งเป็นเยื่อหุ้มเส้นประสาทในสมองและไขสันหลัง ทำให้การส่งกระแสประสาทผิดปกติไป
สารสำคัญในกัญชา โดยเฉพาะ THC และ CBD มีคุณสมบัติช่วยลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งและอาการปวดที่เกี่ยวข้องในผู้ป่วย MS ได้ มีการศึกษาและยอมรับให้ใช้ในบางประเทศ ซึ่งสารสำคัญในกัญชามีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมการเคลื่อนไหว การรับรู้ความเจ็บปวด และการอักเสบ ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและลดอาการปวด ทั้งนี้ การใช้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียง เช่น ง่วงซึม เวียนศีรษะ และมีข้อจำกัดในการใช้
4.ภาวะปวดประสาทส่วนกลาง
ภาวะปวดประสาทส่วนกลาง (Central Pain Syndrome หรือ Central Neuropathic Pain) เป็นอาการปวดเรื้อรังที่เกิดจากความเสียหายของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมองหรือไขสันหลัง ซึ่งแตกต่างจากการปวดทั่วไปที่เกิดจากความเสียหายของเนื้อเยื่อ
กัญชาออกฤทธิ์ต่อระบบสำคัญในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความเจ็บปวด อารมณ์ การนอนหลับ และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดการส่งสัญญาณความเจ็บปวด โดยเฉพาะในบริเวณสมองและไขสันหลังที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลความเจ็บปวด ลดการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท ปรับสมดุลของสารสื่อประสาท ช่วยลดการกระตุ้นของเซลล์ประสาทที่มากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการปวดประสาท และช่วยเรื่องการนอนหลับและลดความวิตกกังวล ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยปวดเรื้อรัง
5.ภาวะเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ที่มีน้ำหนักตัวน้อย
กัญชาทางการแพทย์ โดยเฉพาะสาร THC มีฤทธิ์ในการกระตุ้นความอยากอาหาร (Munchies Effect) และช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนในผู้ป่วยเอดส์ได้ดี มีงานวิจัยและรายงานจำนวนมากที่สนับสนุนการใช้กัญชาเพื่อเพิ่มความอยากอาหารและน้ำหนักตัวในผู้ป่วยกลุ่มนี้
การใช้กัญชาทางการแพทย์จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อพิจารณาขนาดยา รูปแบบการใช้ที่เหมาะสม (เช่น น้ำมันกัญชา หรือแคปซูล แทนการสูบ เนื่องจากผู้ป่วยเอดส์อาจมีปัญหาปอด) และเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ง่วงซึม วิงเวียน การดูแลผู้ป่วยเอดส์ที่มีภาวะเบื่ออาหารและน้ำหนักน้อยต้องเป็นไปอย่างองค์รวม โดยเน้นการรักษาโรคเอชไอวีเป็นหลัก ร่วมกับการจัดการอาการเฉพาะหน้า และการให้การสนับสนุนด้านโภชนาการและจิตใจ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
6.การเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง
การเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ไม่ได้มุ่งเน้นที่การรักษาโรคให้หายขาด แต่เป็นการดูแลแบบองค์รวมที่เน้นการบรรเทาความทุกข์ทรมานทางกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณของผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตลอดช่วงเวลาของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโรคลุกลามจนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แล้ว
กัญชาทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบรรเทาอาการต่าง ๆ ที่ยากต่อการควบคุมด้วยยามาตรฐาน เช่น บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง ลดอาการคลื่นไส้และอาเจียน กระตุ้นความอยากอาหารและลดภาวะน้ำหนักลด ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น ลดความวิตกกังวลและช่วยให้ผ่อนคลาย
Advertisement