อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ก.ย.68 รถไฟฟ้าทะยานสูง สวนทางกำลังซื้อกระบะชะลอ
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยถึงภาพรวมการผลิต ยอดขาย และการส่งออกของอุตสาหกรรมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ไทยในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเติบโตอย่างโดดเด่นของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศที่เข้ามาขับเคลื่อนตัวเลขโดยรวม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การผลิตรถยนต์ในเดือนกันยายน 2568 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 128,104 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ยอดผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นคือการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าเพื่อชดเชยการนำเข้าในช่วงปี พ.ศ. 2565 - 2566 และการผลิตรถกระบะดัดแปลง (PPV) รุ่นใหม่เพื่อส่งออกและจำหน่ายในประเทศ แม้ว่ายอดผลิตรถยนต์นั่งโดยรวมจะลดลงร้อยละ 2.39 จากการยกเลิกการผลิตบางรุ่นเพื่อปรับเปลี่ยนไปผลิตรุ่นใหม่ให้สอดคล้องกับกฎข้อบังคับของประเทศคู่ค้า แต่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากลับพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะ รถยนต์นั่ง BEV ที่ผลิตได้ 6,375 คัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 330.45 และ รถยนต์นั่ง PHEV เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 527.08 ในส่วนของยอดผลิตสะสม 9 เดือน (ม.ค. - ก.ย.) อยู่ที่ 1,075,801 คัน ซึ่งยังคงลดลงร้อยละ 4.63
สำหรับสถานการณ์ยอดขายภายในประเทศในเดือนกันยายน 2568 นั้นมียอดรวม 48,350 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.82 โดยตลาดรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักด้วยยอดขาย 31,722 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.87 ซึ่งมาจากการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างชัดเจน ยอดขายรถยนต์นั่ง BEV อยู่ที่ 9,107 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 99.10 และ รถยนต์นั่ง HEV ที่ขายได้ 12,764 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 108.73 ซึ่งเป็นผลมาจากรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นมีราคาถูกลงและเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถกระบะยังคงเป็นจุดอ่อน โดยมียอดขายเพียง 11,049 คัน ลดลงร้อยละ 4.00 เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวต่ำและกำลังซื้อที่ลดลง
ด้านการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนกันยายน 2568 มีจำนวน 86,056 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.23 โดยมีปัจจัยบวกจากการส่งออกรถกระบะ, รถ PPV รุ่นใหม่ และการเริ่มต้นส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง รถยนต์นั่ง BEV 967 คัน และ รถกระบะ BEV 41 คัน ซึ่งเป็นยอดที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ไม่มีการส่งออกรถประเภทดังกล่าวเลย มูลค่าการส่งออกรถยนต์รวมสูงถึง 55,776.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.52 ขณะที่ยอดส่งออกสะสม 9 เดือนอยู่ที่ 689,031 คัน ลดลงร้อยละ 10.39 โดยมูลค่าการส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบรวมทั้งหมดในเดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ 81,279.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.84
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนกันยายน 2568 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ด้วยการเติบโตที่สูงมากในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าทั้งด้านการผลิต ยอดขาย และการส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตัวเลขในหลายมิติ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่ตลาดรถกระบะภายในประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจและเงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวด การมุ่งเน้นการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าชดเชยการนำเข้าและการขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ช่วยพยุงภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไว้ได้ในระยะนี้
