ในเดือนสิงหาคม 2568 อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายจากยอดผลิตและยอดส่งออกที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างน่าทึ่งของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มตลาดและความต้องการของผู้บริโภค
แม้ว่ายอดการผลิตรถยนต์โดยรวมในเดือนสิงหาคม 2568 จะอยู่ที่ 112,366 คัน ลดลง 6.11% จากเดือนเดียวกันของปี 2567 เนื่องจากยอดการผลิตเพื่อส่งออกลดลงอย่างมาก แต่ยอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศกลับเพิ่มขึ้น 4.11% โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยการนำเข้าในช่วงปี 2565-2566
ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนสิงหาคม 2568 ลดลงอย่างมากถึง 17.30% อยู่ที่ 71,179 คัน สาเหตุหลักมาจากการลดลงของการส่งออกรถกระบะและรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากประเทศคู่ค้ามีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยและการปล่อยก๊าซคาร์บอน อย่างไรก็ตาม การส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า (BEV) และรถกระบะไฟฟ้ากลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพิ่มขึ้น 100% ทั้งสองประเภท แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก
เพื่อแก้ไขปัญหายอดขายรถกระบะที่ลดลงต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง กองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะ วงเงิน 2,000-5,000 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% ข้อเสนอนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายรถกระบะได้ 40,000 คัน ซึ่งจะสร้างรายได้จากการเก็บภาษี (สรรพสามิตและ VAT) เพิ่มขึ้นถึง 2,400 ล้านบาท มากกว่าเงินทุนที่ต้องใช้ค้ำประกัน และยังช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือน รวมถึงสร้างการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตในวงจรขาขึ้นอย่างยั่งยืน
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนสิงหาคม 2568 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โดยยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ทั่วไปลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจโลกและความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป ในทางตรงกันข้าม ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากลับเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านการผลิตและการขายในประเทศ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นตลาดรถยนต์ทั่วไป โดยเฉพาะรถกระบะที่ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อให้การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นไปอย่างสมดุลและมั่นคง