ไร้คนขับ... แต่ไม่ไร้ทิศทาง เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก และโอกาสของประเทศไทย
ในโลกที่เสียงเครื่องยนต์ถูกแทนที่ด้วยความเงียบของระบบไฟฟ้า และสายตาของผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องจดจ่ออยู่กับถนนอีกต่อไป เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ยานพาหนะไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องจักรเคลื่อนที่ แต่กลายเป็นหุ่นยนต์อัจฉริยะที่สามารถตัดสินใจแทนมนุษย์ได้อย่างแม่นยำในทุกวินาที ซึ่งในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลกภาพของรถยนต์ที่วิ่งไปมาโดยไร้คนนั่งหลังพวงมาลัยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้วอย่างน่าทึ่ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้กำลังส่งแรงกระเพื่อมมาถึงประเทศไทย พร้อมกับคำถามสำคัญที่ว่าความวุ่นวายบนท้องถนนที่เป็นเอกลักษณ์ของเราจะสามารถหลอมรวมเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ได้เมื่อไหร่ และในวันที่ "โรโบแท็กซี่" พร้อมให้บริการจริง ชีวิตการเดินทางของคนเมืองจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมมากน้อยเพียงใด พาไปสำรวจความเป็นไปได้เหล่านั้นผ่านมุมมองที่ลึกซึ้งและรอบด้านที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ในขณะที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ ในบางเมืองของโลก "พวงมาลัย" กลายเป็นอุปกรณ์ส่วนเกินไปแล้วครับ เรามาอัปเดตกันว่าต่างประเทศเขาไปถึงไหน และเมื่อไหร่ที่เมืองไทยจะมี "โรโบแท็กซี่" มาจอดรับคุณถึงหน้าบ้าน
อัปเดตโลก ใครคือเบอร์หนึ่งของรถไร้คนขับ?
ปัจจุบันการสู้รบแบ่งออกเป็น 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ที่ใช้กลยุทธ์ต่างกันสุดขั้ว
- สหรัฐอเมริกา (Waymo & Tesla) * Waymo (โดย Google) คือเบอร์ 1 ของจริงที่ให้บริการแบบ "Level 4" (ไม่ต้องมีคนนั่งหลังพวงมาลัย) ปัจจุบันเปิดให้บริการ Robotaxi เชิงพาณิชย์แล้วในเมืองฟีนิกซ์, ซานฟรานซิสโก และลอสแอนเจลิส โดยมียอดผู้ใช้บริการพุ่งสูงถึง 450,000 เที่ยวต่อสัปดาห์ (ข้อมูลปลายปี 2025) Tesla เน้นระบบ FSD (Full Self-Driving) ที่คนทั่วไปซื้อไปใช้ได้เลย แม้จะยังต้องมีคนคอยคุม (Supervised) แต่ AI ของ Tesla เรียนรู้เร็วมากจากการเก็บข้อมูลรถนับล้านคันบนถนนจริง
- จีน (Baidu Apollo & Pony.ai) * จีนกำลังแซงทางโค้งด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล Baidu Apollo Go กลายเป็นเครือข่ายรถไร้คนขับที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแง่จำนวนเมืองที่ให้บริการ (มากกว่า 16 เมือง) และตั้งเป้าจะขยายไปต่างประเทศในปี 2026 นี้ด้วย
ประเทศไทยอยู่ตรงไหน?
ต้องยอมรับความจริงว่า ไทยเรายังอยู่ในช่วง "เริ่มต้น" (Infancy Stage) แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
- โครงการนำร่อง เรามีการทดลอง "รถบัสไฟฟ้าไร้คนขับ" (Autonomous Bus) โดยความร่วมมือของ มจธ. (KMUTT) และบริษัทเอกชน ซึ่งเคยทดลองวิ่งจริงที่อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาและพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ (EECi) มาแล้ว
- ระดับเทคโนโลยี ปัจจุบันรถยนต์รุ่นท็อปๆ ที่ขายในไทย (เช่น Tesla, BYD, Volvo) มีเทคโนโลยีระดับ Level 2 หรือ 2.5 คือช่วยประคองพวงมาลัย เบรกอัตโนมัติ และจอดรถเองได้ แต่ยังปล่อยมือยาวๆ ไม่ได้
วิเคราะห์ เมื่อไหร่คนไทยจะได้ใช้ "รถไร้คนขับ" จริงๆ?
หากมองตามความเป็นจริงผ่านเลนส์ของโครงสร้างพื้นฐานและกฎหมายไทย นี่คือเส้นทาง (Timeline) ที่เป็นไปได้
ช่วงปี | สิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย |
2026 - 2027 | ยุคเริ่มทดสอบ: จะเริ่มเห็นการใช้รถไร้คนขับใน "พื้นที่ปิด" มากขึ้น เช่น ภายในมหาวิทยาลัย, นิคมอุตสาหกรรม, หรือท่าเรือขนส่งสินค้า |
2028 - 2030 | รถโดยสารเฉพาะทาง: อาจเริ่มมี "Feeder" ไร้คนขับในพื้นที่จำกัด (Geofenced) เช่น เชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าไปยังห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ |
2030 เป็นต้นไป | พาณิชย์เต็มตัว: หากกฎหมาย (Road Traffic Act) ได้รับการแก้ไข และระบบ 5G/V2X ครอบคลุม เราอาจได้เห็น Robotaxi เริ่มทดลองวิ่งในโซน CBD (สุขุมวิท/สาทร) |
ทำไมเมืองไทยถึง "ยาก" กว่าที่อื่น?
มี 3 ปัจจัยหลักที่ท้าทาย AI ของรถไร้คนขับในไทยมากที่สุด
- วินัยจราจรและรถจักรยานยนต์ AI จะสับสนมากกับ "การแทรก" หรือการขี่สวนเลนของมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นตัวแปรที่คาดเดาได้ยากกว่าในยุโรปหรืออเมริกา
- เส้นถนนและป้ายจราจร ความชัดเจนของเส้นจราจรในไทยยังไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็น "ลายแทง" สำคัญที่ AI ใช้ในการเดินรถ
- กฎหมายและความรับผิดชอบ หากเกิดอุบัติเหตุในขณะที่ "ไม่มีคนขับ" ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ? เจ้าของรถ, บริษัทซอฟต์แวร์ หรือบริษัทผู้ผลิตรถ? เรื่องนี้ไทยยังต้องรอการร่างกฎหมายใหม่ครับ
รถยนต์ไร้คนขับในไทยจะไม่ใช่การมาแบบ "ตูมเดียวเปลี่ยนทั้งประเทศ" แต่จะมาในรูปแบบ "เฉพาะจุด" ก่อน โดยเริ่มจากขนส่งสาธารณะในเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และค่อยๆ ขยับมาสู่รถยนต์ส่วนบุคคลครับ
อีก 10 ปีข้างหน้า การสอบใบขับขี่อาจกลายเป็นวิชาเลือก เพราะรถส่วนใหญ่จะขับพาคุณไปส่งเองก็เป็นได้
