ภาพอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่พุ่งชนเข้ากับเสาตอม่อของทางยกระดับอย่างรุนแรงจนรถตีลังกาหงายท้อง เป็นภาพที่สะเทือนใจและตอกย้ำถึงความเปราะบางของชีวิตบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี และเป็นตัวแทนของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสังคมไทย ซึ่งมักมีสาเหตุหลักเชื่อมโยงกับ "ความประมาทของผู้ขับขี่" และ "สภาพแวดล้อมทางกายภาพของถนน" ที่อาจไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด
ที่มาและความรุนแรงของอุบัติเหตุ
อุบัติเหตุที่ปรากฏในภาพแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการปะทะระหว่างรถจักรยานยนต์กับวัตถุแข็งอย่างเสาคอนกรีต สภาพรถที่พลิกหงายและกระเป๋าสัมภาระที่ติดอยู่ด้านหลัง บ่งชี้ว่าผู้ขับขี่อาจเป็นผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน หรืออาจเป็นพนักงานส่งอาหาร (เนื่องจากเห็นกระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ติดอยู่ด้านหลัง) การชนในลักษณะนี้ด้วยความเร็วสูงมักส่งผลให้ผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตทันที เนื่องจากไม่มีโครงสร้างตัวถังรถที่แข็งแรงพอจะดูดซับแรงกระแทกได้เหมือนรถยนต์
พื้นที่เกิดเหตุอยู่บริเวณช่องทางคู่ขนานหรือช่องทางจราจรหลักที่วิ่งใต้ทางยกระดับ โดยมีแบริเออร์คอนกรีตแบ่งระหว่างช่องทางจราจรหลักกับขอบทางหรือไหล่ทาง ลักษณะของอุบัติเหตุนี้ชวนให้ตั้งข้อสังเกตถึงปัจจัยสำคัญหลายประการที่นำไปสู่ความสูญเสีย
บทบาทของ "ความประมาทของผู้ขับขี่"
จากการวิเคราะห์สถิติอุบัติเหตุทั่วโลกและในประเทศไทย รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุและมีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด สาเหตุหลักที่มักถูกหยิบยกมาเสมอคือ "ความประมาท" ซึ่งครอบคลุมพฤติกรรมเสี่ยงมากมาย
- การใช้ความเร็วเกินกำหนด การขับขี่ด้วยความเร็วสูงทำให้ผู้ขับขี่มีเวลาตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินน้อยลง และเมื่อเกิดการชน พลังงานจลน์ที่มหาศาลจะทำให้ความเสียหายรุนแรงขึ้นอย่างทวีคูณ สภาพของรถที่ตีลังกาบ่งชี้ว่าการปะทะเกิดขึ้นด้วยความเร็วสูง
- การเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน/การขับขี่หวาดเสียว หากผู้ขับขี่พยายามหักหลบรถคันอื่น หรือเปลี่ยนช่องทางโดยประมาท อาจทำให้รถเสียการควบคุมและไถลขึ้นขอบทางพุ่งเข้าชนเสาตอม่อ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ตั้งอยู่ใกล้ขอบทาง
- ความไม่พร้อมของร่างกาย การขับขี่ภายใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ สารเสพติด หรืออาการอ่อนเพลีย/หลับใน ทำให้การตัดสินใจและปฏิกิริยาตอบสนองผิดพลาดไปจากปกติ
- การไม่เคารพกฎจราจร การขับขี่รถจักรยานยนต์ในช่องทางที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือการฝ่าฝืนกฎอื่น ๆ บนท้องถนน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก
"สภาพแวดล้อมของถนน" และ "การตีเส้น"
แม้ว่าความประมาทของผู้ขับขี่จะเป็นปัจจัยหลัก แต่สภาพแวดล้อมและวิศวกรรมจราจรก็มีส่วนสำคัญในการ "ลดความรุนแรง" หรือ "ป้องกัน" ไม่ให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้
- ความชัดเจนของเครื่องหมายจราจร หากถนนเพิ่งเปิดใช้งานหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้าง-ปรับปรุง และ "ยังไม่ได้ถูกตีเส้น" อย่างชัดเจน หรือเส้นจราจรจางหายไป จะทำให้ผู้ขับขี่โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนหรือสภาพอากาศไม่ดี มองเห็นขอบเขตช่องทาง, ไหล่ทาง, หรือจุดอันตรายได้ยาก การไม่เห็นขอบทางที่ชัดเจนอาจเป็นสาเหตุให้รถเสียหลักปีนขึ้นแบริเออร์คอนกรีตได้
- ตำแหน่งของเสาตอม่อและสิ่งกีดขวาง เสาตอม่อทางด่วนหรือรถไฟฟ้า เป็นอุปสรรคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตามหลักวิศวกรรมจราจร เสาตอม่อที่อยู่ใกล้ขอบทางจราจรมากเกินไป ถือเป็น "จุดเสี่ยง" ที่อันตรายอย่างยิ่ง การติดตั้งสิ่งกีดขวาง (Guardrails) หรือแบริเออร์ (Barriers) ที่เหมาะสมและมีความสูงเพียงพอเพื่อป้องกันรถไถลออกนอกเส้นทางหรือพุ่งชนเสาโดยตรง จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
- แบริเออร์ที่อาจไม่เหมาะสม แบริเออร์คอนกรีตที่เห็นในภาพ หากมีความสูงหรือรูปทรงที่ไม่เหมาะสม อาจกลายเป็นตัว "ส่ง" ให้รถจักรยานยนต์ที่เสียหลักปีนข้ามหรือถูกดีดกระเด็นเข้าใส่เสาแทนที่จะช่วยประคองให้อยู่ในช่องทาง
การป้องกันโศกนาฏกรรม
อุบัติเหตุเช่นนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ดังที่สุดถึงความจำเป็นในการปรับปรุงทั้ง "พฤติกรรมมนุษย์" และ "วิศวกรรมจราจร"
- ด้านผู้ขับขี่ (การบังคับใช้กฎหมายและการศึกษา) รณรงค์และบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องความเร็วและการเมาแล้วขับให้ความรู้แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ถึงอันตรายของการขับขี่ประชิดสิ่งกีดขวางและการใช้ความเร็วในเขตเมืองเน้นย้ำความสำคัญของการสวมหมวกกันน็อกคุณภาพดี เพื่อลดความเสียหายต่อศีรษะ
- ด้านวิศวกรรมจราจร (โครงสร้างพื้นฐาน) ทบทวนและปรับปรุงการออกแบบถนนในบริเวณที่มีเสาตอม่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องทางคู่ขนานติดตั้ง อุปกรณ์ลดแรงกระแทก (Crash Cushion) หรือ แบริเออร์ที่แข็งแรงและต่อเนื่อง บริเวณหน้าเสาตอม่อที่อยู่ในระยะอันตรายจากช่องทางเดินรถ เพื่อดูดซับพลังงานจากการชนเร่งดำเนินการตีเส้นจราจรและทำเครื่องหมายสะท้อนแสงให้ชัดเจนในทุกช่วงถนน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อสร้างหรือปรับปรุงใหม่
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่ควรจบลงเพียงแค่การเก็บกู้ซากรถและการสอบสวนคดี แต่ควรเป็นบทเรียนสำคัญที่ผลักดันให้ทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ขับขี่จนถึงหน่วยงานภาครัฐ ตระหนักถึงความรับผิดชอบร่วมกันในการสร้างถนนที่ปลอดภัยและลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทลงให้ได้มากที่สุด