Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
อันตราย! "หลับใน" ระหว่างการขับรถยนต์ ต้นเหตุของอุบัติเหตุร้ายแรง

อันตราย! "หลับใน" ระหว่างการขับรถยนต์ ต้นเหตุของอุบัติเหตุร้ายแรง

26 เม.ย. 68
16:00 น.
แชร์

อาการ "หลับใน" ระหว่างการขับรถยนต์เป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่อันตรายที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นได้บนท้องถนน และในหลายกรณีก็เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนทั่วโลก ศาสตราจารย์ Charles A. Czeisler แห่ง Harvard Medical School ผู้เชี่ยวชาญด้านเวลาในชีวภาพ (Circadian Rhythms) และการนอนหลับ เคยกล่าวไว้ว่า “การอดนอนทำให้สมองทำงานเช่นเดียวกับการเมาสุรา” ซึ่งมีการศึกษายืนยันว่า หากคนขับอดนอนนานกว่า 20 ชั่วโมง สมรรถภาพทางประสาทและการตอบสนองจะใกล้เคียงกับผู้ที่มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 0.08% ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ

จากงานวิจัยของ National Sleep Foundation พบว่าประมาณ 60% ของผู้ขับรถในสหรัฐฯ ยอมรับว่าเคยรู้สึกง่วงขณะขับรถ และในจำนวนนี้กว่า 37% ยอมรับว่าเคยเผลอหลับในจริงๆ ซึ่งตัวเลขนี้น่าสะพรึง เพราะแสดงให้เห็นว่า “หลับใน” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว หรือเกิดกับเฉพาะผู้ขับขี่ที่อ่อนแอ แต่เกิดกับทุกคนได้ แม้กระทั่งคนที่ขับรถเก่ง มีวินัย หรือเคยขับระยะไกลมาเป็นร้อยเป็นพันกิโลแล้วก็ตาม

สมองของเรามีระบบนาฬิกาชีวภาพที่ทำงานตามวงจร 24 ชั่วโมง ซึ่งเรียกว่าวงจร Circadian Rhythm ระบบนี้ควบคุมกระบวนการนอนหลับ-ตื่น รวมถึงระดับพลังงานในร่างกายตลอดทั้งวัน โดยมีจุดที่ร่างกายจะรู้สึกง่วงอย่างรุนแรงที่สุดอยู่ 2 ช่วง คือช่วงประมาณตี 2 ถึงตี 4 และอีกช่วงคือช่วงบ่ายประมาณบ่าย 2 ถึงบ่าย 4 ซึ่งแม้จะนอนไปแล้วอย่างเพียงพอ ก็ยังมีความเสี่ยงต่อการง่วงซึมในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ดี

สิ่งที่น่าสังเกตคือ แม้เทคโนโลยีในรถยนต์ยุคใหม่จะพัฒนาไปมาก มีระบบเตือนการหลับใน กล้องตรวจจับการเคลื่อนไหวของดวงตา หรือแม้แต่ระบบช่วยขับแบบอัตโนมัติ แต่เหตุการณ์หลับในก็ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งสะท้อนว่าปัญหาไม่ได้อยู่แค่ที่การออกแบบเทคโนโลยีหรือพฤติกรรมการขับขี่เท่านั้น แต่เป็นปัญหาเชิงลึกทางชีวภาพและสังคม โดยเฉพาะวัฒนธรรมการอดนอนในสังคมที่แข่งขันสูง

มีรายงานกรณีศึกษาหลายกรณีที่ยืนยันอันตรายจากการหลับใน เช่น อุบัติเหตุรถโดยสารที่พลิกคว่ำกลางทางหลวง ซึ่งพบว่าคนขับขับมาเกิน 10 ชั่วโมงติดต่อกัน หรือกรณีที่รถเก๋งเสียหลักพุ่งข้ามเกาะกลางถนนชนกับรถสวนเลนในเวลาเช้ามืด ซึ่งเมื่อย้อนดูข้อมูลจากกล้องวงจรปิด จะเห็นว่ารถไม่มีการเบรก หรือหักหลบใดๆ เลย เป็นลักษณะของ micro-sleep ชัดเจน

เมื่อมองในภาพรวมแล้ว การป้องกันอาการหลับใน ไม่สามารถทำได้ด้วยความตั้งใจล้วนๆ แต่ต้องอาศัยการจัดการเวลานอนอย่างเหมาะสม ความรู้เกี่ยวกับจังหวะชีวภาพของร่างกาย และความเข้าใจในขีดจำกัดของตนเอง เพราะสมองไม่ใช่เครื่องจักรที่สามารถบังคับให้ “ตื่นต่อ” ได้ตามใจ การพักทุกๆ 2 ชั่วโมง การงีบหลับระยะสั้นก่อนออกเดินทาง และการหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาที่ร่างกายมีแนวโน้มจะง่วง ล้วนเป็นแนวทางที่ได้ผลและถูกสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมถึงสถาบันด้านความปลอดภัยทางถนนทั่วโลก

หากรู้สึกว่า "ง่วงจนจะหลับ" ขณะขับรถ นั่นคือ “สัญญาณเตือนระดับสูงสุด” จากสมอง แบบนี้ไม่ควรฝืน เพราะมันหมายความว่า micro-sleep (การหลับโดยไม่รู้ตัว) อาจเกิดขึ้นได้ในไม่กี่วินาทีถัดมา ซึ่งแค่ 3-5 วินาทีที่เผลอหลับตอนขับรถก็พอให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงถึงชีวิตได้เลย

วิธีที่ควรทำทันทีเมื่อรู้สึกว่า "ง่วงจนจะหลับ"

หาที่ปลอดภัยจอดพักทันที
ถ้าอยู่บนทางด่วนหรือถนนใหญ่ ให้หาจุดพักรถ ปั๊มน้ำมัน หรือไหล่ทางที่ปลอดภัยแล้วจอดรถทันที ห้ามรอเด็ดขาด เพราะอาการง่วงจะพุ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสมองจะไม่ฟังคำสั่งคุณอีกต่อไป

งีบหลับสั้นๆ (Power Nap)
งานวิจัยของ NASA แนะนำว่าแค่การงีบ 20–30 นาที จะช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพสมองได้ดีมาก ยิ่งงีบก่อนที่อาการจะหนักจนหลับไปเอง ยิ่งเห็นผลชัดเจน จำไว้ว่าการงีบไม่ใช่การยอมแพ้ แต่มันคือ "วิธีเอาชีวิตรอด"

ดื่มกาแฟแล้วงีบ (Caffeine Nap)
วิธีนี้ได้ผลดีมากกับบางคน คือดื่มกาแฟ (ประมาณ 1 แก้วเล็ก) แล้วรีบงีบทันที 15–20 นาที ระหว่างที่ร่างกายกำลังงีบ คาเฟอีนจะเริ่มออกฤทธิ์พอดีตอนตื่น ทำให้สดชื่นขึ้นแบบ 2 ชั้น แต่ถ้าเป็นคนไวต่อกาแฟมาก อาจต้องระวังมือสั่นหรือใจสั่นได้

เปลี่ยนคนขับ (ถ้ามีผู้ร่วมทาง)
ถ้ามีคนมากกว่า 1 คนในรถ และอีกคนขับได้ นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่ต้องเสี่ยงฝืนตัวเองเลย แล้วค่อยผลัดกันงีบพักระหว่างทางก็ได้

หลีกเลี่ยงพฤติกรรม "กระตุ้นชั่วคราว" เช่น เปิดหน้าต่าง ฟังเพลงดังๆ
หลายคนใช้วิธีเปิดหน้าต่างให้ลมตีหน้า หรือเปิดเพลงร็อคเสียงดัง ทั้งหมดนี้ได้ผลแค่ชั่วคราวประมาณ 5–10 นาที แล้วร่างกายจะชินกับสิ่งเร้า เหมือนสมองหาว่า “อ๋อ เสียงดัง...ก็ยังง่วงอยู่ดี” แล้วกลับไปสู่ภาวะง่วงต่อในเวลาอันสั้น

อย่าฝืนเด็ดขาด
งานวิจัยของ AAA Foundation for Traffic Safety พบว่า คนที่หลับในตอนขับรถ 1 ใน 5 คน ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าหลับ แปลว่าคุณอาจหลับไปแล้วทั้งๆ ที่ยังคิดว่าตัวเอง “ไหว” นั่นคือความน่ากลัวของมัน

สรุปคือ
ง่วง = หยุดขับ > งีบสั้นๆ 15–30 นาที > ถ้ามีคนผลัดขับได้ ให้ผลัดทันที > ดื่มกาแฟได้แต่ไม่ใช่ทางรอดหลัก

ท้ายที่สุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหรือประสบการณ์บนท้องถนนที่มากเพียงใด ก็ไม่อาจเอาชนะธรรมชาติของร่างกายที่ต้องการการพักผ่อนอย่างเพียงพอได้ สิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรตระหนักคือ การนอนหลับไม่ใช่ศัตรูของการเดินทาง แต่มันคือเงื่อนไขสำคัญที่สุดที่ทำให้การเดินทางปลอดภัย และทำให้เรากลับถึงบ้านอย่างมีชีวิต

แชร์
อันตราย! "หลับใน" ระหว่างการขับรถยนต์ ต้นเหตุของอุบัติเหตุร้ายแรง