Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทำความเข้าใจ 'แอโรไดนามิก' วิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้รถประหยัดและมั่นคงกว่า

ทำความเข้าใจ 'แอโรไดนามิก' วิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้รถประหยัดและมั่นคงกว่า

19 ก.ย. 68
16:00 น.
แชร์

แอโรไดนามิก (Aerodynamics) คือศาสตร์ที่ศึกษาการเคลื่อนที่ของอากาศ และแรงที่อากาศกระทำต่อวัตถุที่เคลื่อนที่ผ่านมัน หรืออีกนัยหนึ่งคือ "การออกแบบให้วัตถุแหวกอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด" ซึ่งหลักการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการยานยนต์ แต่ยังรวมถึงเครื่องบิน, รถไฟความเร็วสูง, และแม้กระทั่งจักรยานเสือหมอบ

หลักการพื้นฐานของแอโรไดนามิก

หัวใจสำคัญของแอโรไดนามิกคือการทำความเข้าใจแรงสองชนิดที่อากาศกระทำต่อวัตถุ

  1. แรงยก (Lift Force) เป็นแรงที่ยกวัตถุขึ้นจากพื้นดิน โดยเฉพาะในเครื่องบิน แรงยกจะเกิดขึ้นเมื่ออากาศที่ไหลผ่านปีกมีความเร็วแตกต่างกัน ทำให้เกิดความดันอากาศที่ไม่เท่ากัน และผลักเครื่องบินให้ลอยขึ้น
  2. แรงต้าน (Drag Force) เป็นแรงที่ต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ แรงต้านยิ่งมาก วัตถุยิ่งเคลื่อนที่ช้าลง และต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการเอาชนะแรงนั้น

ทำไมแอโรไดนามิกถึงสำคัญกับยานยนต์?

ในรถยนต์ แอโรไดนามิกมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ โดยเฉพาะในรถยนต์สมรรถนะสูงหรือรถแข่ง เพราะยิ่งรถวิ่งเร็ว แรงต้านอากาศก็ยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ การออกแบบตามหลักแอโรไดนามิกจึงช่วย

  • ลดแรงต้านอากาศ ช่วยให้รถแหวกอากาศได้ง่ายขึ้น ลดภาระเครื่องยนต์ ทำให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้น
  • เพิ่มแรงกด (Downforce) การออกแบบให้ตัวรถและชิ้นส่วนต่างๆ สร้างแรงกดลงบนพื้นถนน จะช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนให้ยางสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
  • เพิ่มความเสถียรของรถ แรงกดที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้รถมีความนิ่งและมั่นคง ไม่เกิดอาการโคลงเคลงหรือร่อนเมื่อใช้ความเร็วสูง

ชิ้นส่วนแอโรไดนามิกที่สำคัญบนรถยนต์

รถยนต์สมัยใหม่หลายรุ่นได้นำชิ้นส่วนต่างๆ มาช่วยปรับปรุงหลักการแอโรไดนามิก

  1. สปอยเลอร์ (Spoiler) และปีกหลัง (Wing) หลายคนมักสับสนระหว่างสปอยเลอร์และปีกหลัง โดยทั่วไปแล้ว สปอยเลอร์ จะติดอยู่ที่ท้ายรถเพื่อ "รบกวน" การไหลของอากาศที่ไหลผ่านส่วนท้ายรถ ทำให้แรงยกที่ท้ายรถลดลง ส่วน ปีกหลัง (ที่เห็นในรถแข่ง) จะทำหน้าที่เหมือนปีกเครื่องบินกลับหัว คือใช้หลักการสร้างแรงยกกลับด้านเพื่อสร้าง แรงกด (Downforce) กดท้ายรถให้แนบไปกับพื้น
  2. ดิฟฟิวเซอร์ (Diffuser) เป็นชิ้นส่วนใต้ท้องรถบริเวณท้ายรถ มีลักษณะเป็นครีบหรือแผงคล้ายรังผึ้ง ทำหน้าที่ช่วยควบคุมการไหลของอากาศใต้ท้องรถให้เป็นไปอย่างมีระเบียบ และเพิ่มแรงดูดให้ท้องรถแนบสนิทกับพื้นถนน
  3. ลิ้นหน้า (Front Splitter) และสเกิร์ตข้าง (Side Skirts) ชิ้นส่วนเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมการไหลของอากาศที่เข้ามาปะทะกับด้านหน้ารถ ไม่ให้อากาศไหลเข้าสู่ใต้ท้องรถมากเกินไป ซึ่งจะช่วยลดแรงยกที่ด้านหน้ารถ
  4. ช่องระบายอากาศ (Air Vents) และครีบ (Fins) ช่องและครีบเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยระบายอากาศร้อนจากเครื่องยนต์หรือเบรก และควบคุมทิศทางการไหลของอากาศให้เหมาะสม

แอโรไดนามิกในรถยนต์ทั่วไป vs. รถแข่ง

แม้ว่าหลักการจะเหมือนกัน แต่จุดประสงค์ในการนำไปใช้จะแตกต่างกัน

  • รถยนต์ทั่วไป มุ่งเน้นไปที่การลดแรงต้านอากาศ (Drag) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันและลดเสียงรบกวนจากลม
  • รถแข่ง มุ่งเน้นไปที่การสร้างแรงกด (Downforce) ให้ได้มากที่สุด เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง แม้จะต้องแลกมาด้วยการเพิ่มแรงต้านก็ตาม

ข้อดีของแอโรไดนามิก

การออกแบบที่คำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์อย่างดีเยี่ยมจะส่งผลดีต่อรถยนต์ในหลายๆ ด้าน

  1. ประหยัดเชื้อเพลิง นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของแอโรไดนามิก ยิ่งรถมีความลู่ลมมากเท่าไหร่ แรงต้านอากาศก็จะยิ่งน้อยลง ทำให้เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อเอาชนะแรงต้านนั้น ส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ำมันหรือพลังงานไฟฟ้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  2. เพิ่มสมรรถนะและความเร็ว เมื่อแรงต้านลดลง รถก็สามารถทำความเร็วได้สูงขึ้นโดยใช้พลังงานเท่าเดิม หรือสามารถเร่งความเร็วได้ดีขึ้นในเวลาที่สั้นลง
  3. เพิ่มการยึดเกาะถนน การออกแบบรถให้สร้าง แรงกด (Downforce) จะช่วยให้ยางมีหน้าสัมผัสกับพื้นถนนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ทำให้การควบคุมรถแม่นยำและมั่นคงกว่าเดิม
  4. ลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร การออกแบบที่ลู่ลมจะช่วยลดเสียงลมที่ปะทะกับตัวรถเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ทำให้ห้องโดยสารเงียบและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สบายขึ้น
  5. เพิ่มความเสถียรของรถ แรงกดที่เกิดขึ้นจากหลักแอโรไดนามิกจะช่วยให้รถมีความนิ่งและมั่นคง ไม่เกิดอาการร่อนหรือเสียการควบคุมเมื่อต้องใช้ความเร็วสูง

ข้อเสียของแอโรไดนามิก

แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การออกแบบตามหลักแอโรไดนามิกก็มีข้อจำกัดและข้อเสียบางประการ

  • ต้นทุนการออกแบบและผลิตสูง การออกแบบรถให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Cd) ต่ำๆ ต้องใช้การวิจัยและพัฒนาที่ซับซ้อน รวมถึงการทดสอบในอุโมงค์ลม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ราคารถโดยรวมสูงขึ้นตามไปด้วย
  • แลกมาด้วยความคล่องตัวที่ลดลง ในรถแข่งหรือรถสมรรถนะสูงที่เน้นการสร้างแรงกดมากๆ มักจะแลกมาด้วยการเพิ่มแรงต้านอากาศ ทำให้การเร่งความเร็วจากจุดหยุดนิ่งหรือการทำความเร็วในทางตรงทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
  • การออกแบบที่จำกัด รูปทรงที่ลู่ลมมากเกินไปอาจทำให้การออกแบบรถไม่สามารถทำได้อย่างอิสระ ทำให้รถมีรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายคลึงกัน หรือต้องแลกมาด้วยพื้นที่ใช้สอยภายในที่ลดลง
  • ความสูงของรถและออฟโรด รถยนต์ที่มีความสูงมากอย่างรถ SUV หรือรถกระบะ มักจะมีปัญหาเรื่องแรงต้านอากาศที่สูงกว่ารถเก๋ง ซึ่งการปรับปรุงแอโรไดนามิกจะทำได้ยากกว่า

การออกแบบรถยนต์ตามหลักแอโรไดนามิกเป็นการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพการขับขี่ ความปลอดภัย และความประหยัดเชื้อเพลิง แม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ประโยชน์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง ทำให้แอโรไดนามิกกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกให้ความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้

แอโรไดนามิกคือวิทยาศาสตร์ที่ผสานความสวยงามของรูปลักษณ์เข้ากับประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างลงตัว การทำความเข้าใจหลักการนี้จะช่วยให้เรามองเห็นได้ว่าทุกเส้นสายและทุกชิ้นส่วนบนรถยนต์ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังถูกคำนวณมาอย่างแม่นยำเพื่อสมรรถนะสูงสุดอีกด้วย

 

แชร์
ทำความเข้าใจ 'แอโรไดนามิก' วิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้รถประหยัดและมั่นคงกว่า