Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
"ไดชาร์จ" และ "ไดสตาร์ท" มีหน้าที่ หลักการทำงาน และความแตกต่างอย่างไร

"ไดชาร์จ" และ "ไดสตาร์ท" มีหน้าที่ หลักการทำงาน และความแตกต่างอย่างไร

10 ก.ค. 68
16:00 น.
แชร์

ในโลกของยานยนต์ เครื่องยนต์สันดาปภายในต้องอาศัยระบบไฟฟ้าเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน ตั้งแต่การเริ่มต้นเครื่องยนต์ไปจนถึงการจ่ายไฟเลี้ยงอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถ ซึ่งสององค์ประกอบหลักที่มีบทบาทสำคัญในระบบไฟฟ้าของรถยนต์และมักถูกเข้าใจผิดหรือสับสนกันอยู่บ่อยครั้งคือ "ไดชาร์จ" และ "ไดสตาร์ท" มีหน้าที่ หลักการทำงาน และความแตกต่างของอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นนี้อย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญและบทบาทที่แตกต่างกันของแต่ละส่วน

ไดชาร์จ (Alternator) คืออะไร?

ไดชาร์จ (Alternator) คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับระบบไฟฟ้าทั้งหมดภายในรถยนต์ รวมถึงการชาร์จประจุไฟฟ้ากลับคืนสู่แบตเตอรี่รถยนต์หลังจากที่ถูกใช้ไปในการสตาร์ทเครื่องยนต์และจ่ายไฟเลี้ยงอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ขณะเครื่องยนต์ทำงาน ไดชาร์จจะทำงานเมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วเท่านั้น

หลักการทำงานของไดชาร์จ

ไดชาร์จทำงานโดยอาศัยหลักการของการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Induction) ซึ่งแปลงพลังงานกลจากการหมุนของเครื่องยนต์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) โดยมีส่วนประกอบหลักดังนี้

  • โรเตอร์ (Rotor) เป็นส่วนที่หมุนได้ภายในไดชาร์จ ประกอบด้วยขดลวดสนามแม่เหล็ก เมื่อกระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จากแบตเตอรี่ถูกส่งผ่านขดลวด โรเตอร์จะกลายเป็นแม่เหล็กไฟฟ้า
  • สเตเตอร์ (Stator) เป็นส่วนที่อยู่กับที่และพันด้วยขดลวดทองแดง เมื่อโรเตอร์หมุน สนามแม่เหล็กจากโรเตอร์จะเคลื่อนที่ผ่านขดลวดในสเตเตอร์ ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ขึ้นในขดลวดสเตเตอร์
  • เรกติไฟเออร์ (Rectifier / Diode Bridge) เนื่องจากระบบไฟฟ้าในรถยนต์ส่วนใหญ่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ไดชาร์จจึงจำเป็นต้องมีชุดไดโอด (Diode Bridge) ทำหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่ผลิตได้จากสเตเตอร์ให้เป็นกระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC)
  • เรกูเลเตอร์ (Voltage Regulator) เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่ไดชาร์จผลิตออกมาให้คงที่ เพื่อป้องกันไม่ให้แรงดันไฟฟ้าสูงหรือต่ำเกินไป ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในรถยนต์

ลำดับการทำงาน

  • เมื่อเครื่องยนต์เริ่มทำงาน แรงหมุนจากเครื่องยนต์จะถูกส่งผ่านสายพานไปยังพูเลย์ของไดชาร์จ ทำให้โรเตอร์ภายในไดชาร์จหมุน
  • โรเตอร์จะสร้างสนามแม่เหล็กหมุนขึ้น
  • สนามแม่เหล็กหมุนนี้จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้ากระแสสลับในขดลวดสเตเตอร์
  • กระแสไฟฟ้ากระแสสลับจะถูกส่งผ่านชุดเรกติไฟเออร์เพื่อแปลงเป็นกระแสไฟฟ้ากระแสตรง
  • กระแสไฟฟ้ากระแสตรงที่ได้จะถูกควบคุมแรงดันโดยเรกูเลเตอร์ก่อนที่จะถูกส่งไปเลี้ยงระบบไฟฟ้าต่างๆ ในรถยนต์ เช่น ไฟหน้า วิทยุ แอร์ และใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มอยู่เสมอ

ไดสตาร์ท (Starter Motor) คืออะไร?

ไดสตาร์ท (Starter Motor) หรือที่บางครั้งเรียกว่ามอเตอร์สตาร์ท คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการเริ่มต้นการทำงานของเครื่องยนต์ (Engine Cranking) โดยการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ให้เป็นพลังงานกล เพื่อหมุนเพลาข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์ให้ถึงความเร็วรอบที่เพียงพอสำหรับการจุดระเบิดและสตาร์ทติด

หลักการทำงานของไดสตาร์ท

ไดสตาร์ทเป็นมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Motor) ที่ออกแบบมาเพื่อให้กำลังบิดสูงในช่วงเวลาสั้นๆ มีส่วนประกอบหลักดังนี้

  • มอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor) เป็นส่วนที่แปลงพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ให้เป็นพลังงานกลเพื่อหมุนเฟือง
  • โซลีนอยด์ (Solenoid) ทำหน้าที่เป็นสวิตช์หลักและกลไกดันเฟืองขับ (Pinion Gear) ออกไปยึดกับฟลายวีล (Flywheel) ของเครื่องยนต์ เมื่อมีการบิดกุญแจสตาร์ท โซลีนอยด์จะได้รับกระแสไฟฟ้าและทำงานสองอย่างพร้อมกันคือ ดันเฟืองขับให้ไปขบกับฟันเฟืองของฟลายวีล ต่อวงจรไฟฟ้าหลักจากแบตเตอรี่เข้าสู่มอเตอร์สตาร์ท
  • เฟืองขับ (Pinion Gear) เป็นเฟืองขนาดเล็กที่ติดอยู่กับเพลาของมอเตอร์สตาร์ท เมื่อมอเตอร์ทำงาน เฟืองขับจะถูกดันออกไปขบกับฟันเฟืองที่ขอบของฟลายวีล
  • ฟลายวีล (Flywheel) เป็นล้อขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับเพลาข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์ เมื่อเฟืองขับของไดสตาร์ทไปขบและหมุนฟลายวีล จะทำให้เพลาข้อเหวี่ยงหมุนตามไปด้วย

ลำดับการทำงาน

  • เมื่อผู้ขับขี่บิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง "สตาร์ท" หรือกดปุ่มสตาร์ท กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จะถูกส่งไปยังโซลีนอยด์ของไดสตาร์ท
  • โซลีนอยด์จะทำงาน โดยดันเฟืองขับ (Pinion Gear) ออกไปข้างหน้าให้ไปขบกับฟันเฟืองของฟลายวีล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์
  • ในขณะเดียวกัน โซลีนอยด์จะทำหน้าที่เป็นสวิตช์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าแรงสูงจากแบตเตอรี่ตรงเข้าสู่มอเตอร์ไฟฟ้าของไดสตาร์ท
  • มอเตอร์ไฟฟ้าจะเริ่มทำงานและหมุนเฟืองขับ ทำให้ฟลายวีลและเพลาข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์หมุนตามไปด้วย
  • เมื่อเครื่องยนต์หมุนถึงความเร็วรอบที่เหมาะสม ระบบจุดระเบิดและระบบเชื้อเพลิงจะทำงาน ทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติด
  • ทันทีที่เครื่องยนต์ติดและเริ่มทำงาน เฟืองขับของไดสตาร์ทจะถูกปลดออกจากฟลายวีลโดยอัตโนมัติ และมอเตอร์สตาร์ทจะหยุดทำงาน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการที่เฟืองหมุนด้วยความเร็วสูงเกินไป

ความแตกต่างระหว่างไดชาร์จและไดสตาร์ท

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปความแตกต่างของทั้งสองอุปกรณ์ได้ดังตารางต่อไปนี้:

คุณสมบัติ

ไดชาร์จ (Alternator)

ไดสตาร์ท (Starter Motor)

หน้าที่หลัก

ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงระบบรถและชาร์จแบตเตอรี่

หมุนเครื่องยนต์เพื่อสตาร์ทให้เครื่องติด

หลักการทำงาน

แปลงพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า (Generator)

แปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล (Motor)

แหล่งพลังงาน

ได้รับพลังงานกลจากการหมุนของเครื่องยนต์ผ่านสายพาน

ได้รับพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่โดยตรง

ช่วงเวลาทำงาน

ทำงานต่อเนื่องตลอดเวลาที่เครื่องยนต์ติด

ทำงานเฉพาะช่วงเวลาสั้นๆ ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์เท่านั้น

ประเภทกระแสไฟ

ผลิตไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) แล้วแปลงเป็นกระแสตรง (DC)

ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จากแบตเตอรี่

การเชื่อมต่อ

ต่อกับเครื่องยนต์ด้วยสายพาน

ต่อกับฟลายวีลของเครื่องยนต์ด้วยชุดเฟืองขับ

ผลเมื่อเสีย

ระบบไฟรถอ่อน แบตหมดเร็ว รถดับกลางทาง สตาร์ทไม่ติด

รถสตาร์ทไม่ติดเลย ไม่มีเสียงหมุนของเครื่องยนต์

ไดชาร์จและไดสตาร์ทเป็นสองอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สำคัญและขาดไม่ได้ในรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน แม้จะมีชื่อที่คล้ายคลึงกันและมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอุปกรณ์เดียวกัน แต่แท้จริงแล้วมีหน้าที่และหลักการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

  • ไดสตาร์ท มีบทบาทในการ "เปิด" การทำงานของรถ โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อเริ่มต้นการหมุนของเครื่องยนต์เพียงชั่วขณะ
  • ไดชาร์จ มีบทบาทในการ "รักษา" การทำงานของรถ โดยการผลิตกระแสไฟฟ้าและชาร์จแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่เครื่องยนต์ทำงาน

การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างและบทบาทของอุปกรณ์ทั้งสองนี้ จะช่วยให้ผู้ใช้รถสามารถดูแลรักษารถยนต์ได้อย่างถูกต้อง และสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที

แชร์
"ไดชาร์จ" และ "ไดสตาร์ท" มีหน้าที่ หลักการทำงาน และความแตกต่างอย่างไร