Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
อีโคคาร์ หรือ รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ใครให้ความคุ้มค่ามากกว่ากัน

อีโคคาร์ หรือ รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ใครให้ความคุ้มค่ามากกว่ากัน

18 มิ.ย. 68
16:00 น.
แชร์

อีโคคาร์ (Eco Car) คือ รถยนต์ประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากล ซึ่งรัฐบาลไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้มีโครงการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ประเภทนี้ขึ้นมา เพื่อวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ

  1. ส่งเสริมการลงทุนและสร้างฐานการผลิตยานยนต์ในประเทศไทย ดึงดูดบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ให้เข้ามาลงทุนและผลิตรถยนต์ในประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างงานและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออก
  2. เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคเข้าถึงรถยนต์ที่มีมาตรฐานสูงในราคาที่เหมาะสม ทำให้คนไทยสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพดี ทั้งด้านความประหยัดพลังงานและความปลอดภัย ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป
  3. ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รถอีโคคาร์ถูกออกแบบให้มีการปล่อยมลพิษต่ำและมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูง ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

คุณสมบัติหลักของรถยนต์อีโคคาร์ตามข้อกำหนดของประเทศไทย (ซึ่งมี 2 เฟส)

สำหรับ Eco Car เฟส 1 (เริ่มตั้งแต่ปี 2552)

  • ขนาดเครื่องยนต์ เบนซิน ไม่เกิน 1,300 ซีซี ดีเซล: ไม่เกิน 1,400 ซีซี
  • มาตรฐานมลพิษ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน Euro 4 ขึ้นไป (ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร)
  • อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ต้องไม่ต่ำกว่า 20 กิโลเมตร/ลิตร
  • ระบบความปลอดภัย มีระบบปกป้องผู้โดยสารจากการชนด้านหน้า (UNECE R94) และด้านข้าง (UNECE R95, REV.1)

สำหรับ Eco Car เฟส 2 (เริ่มตั้งแต่ปี 2557)

  • ขนาดเครื่องยนต์ เบนซิน ไม่เกิน 1,300 ซีซี ดีเซล: ไม่เกิน 1,500 ซีซี
  • มาตรฐานมลพิษ เข้มงวดขึ้นเป็น Euro 5 ขึ้นไป (ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไม่เกิน 100 กรัม/กิโลเมตร)
  • อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ต้องไม่ต่ำกว่า 23.25 กิโลเมตร/ลิตร
  • ระบบความปลอดภัย ติดตั้งระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) เป็นมาตรฐาน ติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว (Electronic Stability Control - ESC) เป็นมาตรฐานทุกรุ่นย่อย

จุดเด่นและข้อดีของอีโคคาร์

  • ประหยัดน้ำมัน เป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุด เนื่องจากเครื่องยนต์ขนาดเล็กและเทคโนโลยีที่เน้นประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง
  • ราคาเข้าถึงง่าย เป็นรถยนต์ที่มีราคาเริ่มต้นไม่สูงมาก เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถคันแรก
  • ค่าบำรุงรักษาไม่แพง ชิ้นส่วนและอะไหล่หาง่าย ราคาไม่แพง
  • คล่องตัวสูง ด้วยขนาดที่กะทัดรัด ทำให้ขับขี่ในเมืองและหาที่จอดได้ง่าย
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการปล่อยมลพิษต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไป

ตัวอย่างรถอีโคคาร์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย เช่น Nissan March, Nissan Almera, Honda Brio, Honda City Hatchback (บางรุ่น), Mitsubishi Mirage, Mitsubishi Attrage, Suzuki Swift, Suzuki Celerio, Toyota Yaris, Toyota Yaris ATIV เป็นต้น

"รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก" (Small Electric Vehicle หรือ Mini EV) คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% (Battery Electric Vehicle - BEV) และมีขนาดตัวถังที่กะทัดรัดกว่ารถยนต์ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด มักจะออกแบบมาเพื่อการใช้งานในเมืองเป็นหลัก

คุณสมบัติและลักษณะเด่นของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก

  • ขนาดกะทัดรัด นี่คือคุณสมบัติที่เด่นที่สุดของรถประเภทนี้ ตัวรถมีมิติที่เล็กกว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วไป ทำให้มีความคล่องตัวสูงในการขับขี่ในสภาพการจราจรหนาแน่น และง่ายต่อการหาที่จอดในพื้นที่จำกัด
  • ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ไม่มีการปล่อยไอเสียและมลพิษทางอากาศโดยตรง ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • จำนวนที่นั่ง ส่วนใหญ่จะมี 2 ที่นั่ง ถึง 4 ที่นั่ง ขึ้นอยู่กับการออกแบบและรุ่น อาจมีทั้งแบบ 3 ประตู หรือ 5 ประตู
  • ระยะทางขับขี่ (Range) มักจะมีระยะทางขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งที่ไม่ไกลมากนัก (มักจะอยู่ระหว่าง 100-400 กิโลเมตร ตามมาตรฐานทดสอบ) ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน การเดินทางในเมือง หรือเดินทางระหว่างจังหวัดในระยะใกล้ๆ
  • ความเร็วสูงสุด ความเร็วสูงสุดอาจไม่สูงเท่ารถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ แต่ก็เพียงพอสำหรับการขับขี่ในเมืองและบนถนนหลวงบางประเภท (มักจะทำความเร็วได้ประมาณ 100-140 กม./ชม. ขึ้นอยู่กับรุ่น)
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย ค่าพลังงาน ค่าไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จถูกกว่าค่าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมาก ค่าบำรุงรักษา: มีชิ้นส่วนที่ซับซ้อนน้อยกว่ารถยนต์สันดาปภายใน ทำให้ค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซมโดยรวมต่ำกว่า
  • จดทะเบียนได้ตามกฎหมาย รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยส่วนใหญ่สามารถจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกได้ตามปกติ โดยมีเกณฑ์ที่สำคัญคือ กำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 4 กิโลวัตต์ และสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • ราคาเข้าถึงง่าย ในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กหลายรุ่นมีราคาที่จับต้องได้มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้รับการสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ตัวอย่างรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย

  • WULING Air EV
  • WULING Binguo EV
  • Neta V
  • ORA Good Cat (ถือเป็น Compact EV แต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มที่ค่อนข้างกะทัดรัดเมื่อเทียบกับรถ EV ขนาดใหญ่)
  • BYD Dolphin
  • VOLT City EV

รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวันเป็นหลัก ต้องการความคล่องตัวในการเดินทางในเมือง และต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการบำรุงรักษา รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อม

เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างรถยนต์อีโคคาร์และรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก

การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างรถยนต์อีโคคาร์และรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กเป็นหัวข้อที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน เราจะพิจารณาค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ดังนี้

1. ราคาเริ่มต้น (Initial Purchase Price)

  • รถยนต์อีโคคาร์ โดยทั่วไปมีราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่ารถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กเล็กน้อย โดยมีราคาตั้งแต่ประมาณ 4 แสนบาทปลายๆ ถึง 7 แสนบาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ เช่น Toyota Yaris ATIV, Honda City, Nissan Almera, Mazda 2 เป็นต้น
  • รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ปัจจุบันราคาเริ่มต้นลดลงมามาก โดยมีตั้งแต่ประมาณ 3 แสนปลายๆ ไปจนถึง 8 แสนบาท (เช่น WULING Binguo EV, WULING Air EV, NETA V, ORA Good Cat) ซึ่งราคาของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กบางรุ่นสามารถแข่งขันกับอีโคคาร์ได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ

2. ค่าเชื้อเพลิง/พลังงาน (Fuel/Electricity Cost)

  • รถยนต์อีโคคาร์ ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันและการสิ้นเปลืองของรถยนต์ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2-3 บาทต่อกิโลเมตร (บางรายงานระบุ 2.5 บาท/กม. สำหรับรถน้ำมันทั่วไป) หากวิ่งประมาณ 2,000 กม./เดือน อาจมีค่าใช้จ่ายน้ำมันราว 4,000 - 6,000 บาท/เดือน
  • รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ค่าไฟฟ้าถูกกว่าน้ำมันอย่างเห็นได้ชัด หากชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืน (Off-Peak) ค่าไฟจะถูกลงอีกมาก (ประมาณ 2-4 บาท/หน่วย) ทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.5 - 1 บาทต่อกิโลเมตร (บางรายงานระบุ 0.62 บาท/กม. หรือ 500 - 1,500 บาท/เดือน หากวิ่ง 20,000 กม./ปี) หากวิ่งระยะทางเท่ากัน รถยนต์ไฟฟ้าจะประหยัดค่าพลังงานได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน

3. ค่าบำรุงรักษา (Maintenance Cost)

  • รถยนต์อีโคคาร์ มีชิ้นส่วนที่ต้องบำรุงรักษามากกว่า เช่น น้ำมันเครื่อง, ไส้กรองต่างๆ, หัวเทียน, ระบบเกียร์, ระบบระบายความร้อน เป็นต้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามระยะทางที่สูงกว่า โดยเฉลี่ยอาจอยู่ที่ 10,000 - 20,000 บาทต่อปี (รวมค่าเปลี่ยนยางตามรอบ)
  • รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่มีระบบเกียร์ที่ซับซ้อน ทำให้ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่ามาก โดยหลักๆ จะเป็นการตรวจสอบระบบทั่วไป, สภาพช่วงล่าง, เบรก, ยาง, แบตเตอรี่ และการอัปเดตซอฟต์แวร์ ค่าใช้จ่ายต่อปีอาจอยู่ในช่วง 4,500 - 15,000 บาท (รวมค่าประมาณการยาง) ซึ่งถูกกว่ารถน้ำมันประมาณ 3 เท่า

4. ค่าประกันภัย (Insurance Cost)

  • รถยนต์อีโคคาร์ ค่าประกันภัยชั้น 1 โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 15,000 - 25,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและทุนประกัน
  • รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ในอดีตค่าประกันภัยอาจสูงกว่ารถน้ำมันเล็กน้อย เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่และอะไหล่อาจหายากกว่า แต่ปัจจุบันราคาเริ่มใกล้เคียงกันมากขึ้น โดยอาจอยู่ที่ 18,000 - 30,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ

5. ภาษีรถยนต์ประจำปี (Annual Road Tax)

  • รถยนต์อีโคคาร์ คำนวณตามขนาดเครื่องยนต์ (CC) เช่น รถ 1,200 ซีซี อาจอยู่ที่ประมาณ 1,300 - 1,500 บาทต่อปี
  • รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจะคำนวณตามน้ำหนักของรถ โดยมักจะต่ำกว่ารถน้ำมันมาก โดยเฉพาะในช่วงแรกที่มีการลดภาษี EV โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 300 - 1,900 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและกำลังมอเตอร์

6. ค่าเสื่อมราคา (Depreciation)

  • รถยนต์อีโคคาร์ มีค่าเสื่อมราคาตามปกติ ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและความนิยมของรุ่น
  • รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก เป็นสิ่งที่ยังต้องจับตาดู เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาและราคาของรถยนต์ไฟฟ้าใหม่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ามือสองมีค่าเสื่อมราคาที่สูงกว่าในช่วงแรก แต่ในระยะยาวเมื่อเทคโนโลยีและตลาด EV เข้าที่มากขึ้น ค่าเสื่อมราคาก็อาจใกล้เคียงกัน

เมื่อพิจารณาในระยะยาว รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กมักจะประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวมมากกว่ารถยนต์อีโคคาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ

  • ค่าเชื้อเพลิง ประหยัดได้มากที่สุด หากชาร์จที่บ้านในราคาค่าไฟปกติหรือ Off-Peak
  • ค่าบำรุงรักษา มีชิ้นส่วนที่ต้องดูแลรักษาน้อยกว่า ทำให้ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
  • ภาษีรถยนต์ประจำปี ถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ข้อคิดให้พิจารณาเพิ่ม

  • พฤติกรรมการใช้งาน หากขับขี่ในเมืองเป็นหลักและมีจุดชาร์จที่บ้านหรือที่ทำงาน รถยนต์ไฟฟ้าจะคุ้มค่ามาก
  • สถานีชาร์จสาธารณะ ความสะดวกในการเข้าถึงสถานีชาร์จสาธารณะก็เป็นปัจจัยสำคัญ แม้ปัจจุบันจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
  • ราคาแบตเตอรี่ แม้แบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานยาวนานและมีการรับประกัน แต่ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อหมดอายุการใช้งานหรือเสียหายอาจสูง ซึ่งเป็นต้นทุนระยะยาวที่ควรคำนึงถึง (อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตส่วนใหญ่รับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปีขึ้นไป)

โดยรวมแล้ว หากมองที่ค่าใช้จ่ายในการใช้งานในแต่ละวันและค่าบำรุงรักษาในระยะยาว รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กมีความคุ้มค่าและประหยัดกว่ารถยนต์อีโคคาร์อย่างชัดเจน แม้ราคาเริ่มต้นอาจใกล้เคียงกันหรือสูงกว่าเล็กน้อยในบางรุ่น

แชร์
อีโคคาร์ หรือ รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ใครให้ความคุ้มค่ามากกว่ากัน