5 ทริคในการเลือกซื้อรถยนต์แต่ละประเภทอย่างเซียน เลือกอย่างไรให้ประหยัด

15 มิ.ย. 67

แนะนำข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ 5 ประการ แต่สามารถช่วย SAVE เงินในกระเป๋าได้ไม่น้อย และยังสามารถช่วยชาติประหยัดการใช้พลังงานได้มาก

5 ข้อง่าย ๆ ในการเลือกซื้อรถยนต์ให้ประหยัด

เลือกรถที่มีกำลังเครื่องยนต์ หรือประเภทให้ตรงกับการใช้งาน เช่น ถ้าจะซื้อรถปิกอัพมาใช้งานแบบเดียวกับรถเก๋ง ไม่มีการบรรทุกหนักแต่อย่างใด ก็ให้เลือกรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก ความจุของเครื่องยนต์ไม่ต้องมาก ให้พละกำลังเหมาะสม กับการใช้งานก็เพียงพอแล้ว
รถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะกินน้ำมันมากกว่ารถขับเคลื่อน 2 ล้อ เพราะเครื่องยนต์ต้องทำงานหนักกว่า เนื่องจากต้องผลิตกำลังส่งไปยังล้อขับเคลื่อนทั้งคู่หน้าและคู่หลัง แต่ถ้าเป็นรถที่ขับเคลื่อนเพียง 2 ล้อ เครื่องยนต์ก็ผลิตกำลัง เพียงแค่ส่งไปให้ล้อขับเคลื่อนคู่ใดคู่หนึ่งเท่านั้น
รถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ จะกินน้ำมันมากกว่ารถที่ใช้เกียร์ธรรมดาประมาณ 10 – 15% ดังนั้น หากใครคิดที่จะซื้อรถเกียร์อัตโนมัติ หรือเกียร์ AUTO มาใช้ ก็ต้องเรียนรู้วิธีการขับสักนิด ขับรถเกียร์อัตโนมัติให้ประหยัดน้ำมัน เค้าทำกันอย่างไร เผื่อจะได้ช่วยลดความสิ้นเปลืองน้ำมันลงไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ลูกผสม รถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ผู้ซื้อต้องคำนวณระยะทางในการเดินทางต่อการใช้ ว่าควรเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะการวิ่งมากน้อยแค่ไหน แต่ละคันมีความจุแบตเตอรี่ไม่เท่ากัน วิ่งได้ระยะทางต่างกัน ราคารถต่างกัน ด้านแบตเตอรี่มีราคาค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนสูง เมื่อเกิดปัญหาหากต้องเปลี่ยนแบตทั้งลูก และต้องหาจุดชาร์จรองรับ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือสถานีให้บริการชาร์จ ส่วนรถยนต์ลูกผสม ที่เป็นเครื่องยนต์ไฮบริดและเครื่องยนต์สันดาปภายใน มีมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมกำลังขับเคลื่อน แม้จะเติมน้ำมัน หรือชาร์จไฟด้วยได้ด้วย ราคารถค่อนข้างสูง การดูแลมีราคาค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเสียกันง่ายๆ เพราะรถยนต์ 2 ประเภทนี้ ประหยัดค่าใช้จ่ายแทนค่าน้ำมันอยู่มาก ลดมลพิษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ราคารถยนต์ก็เลือกดูตามความเหมาะสมกับการใช้งานได้
ถ้าเลือกรถได้แล้ว มาดูการประหยัดอีกด้าน ด้วยบ้านเราเป็นเมืองร้อนมาก ๆ อากาศอบอ้าวแทบทั้งปี การติดฟิล์มกรองแสงแบบกันความร้อน จะสามารถช่วยลดความร้อนที่เข้าสู่ห้องโดยสารของรถยนต์ได้ประมาณ 50 – 90% ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นประมาณ 15 – 20% เท่ากับว่าจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว