รัฐบาลไทยเร่งคลี่คลายปัญหาประชาชนถูก “ล็อกบัญชีธนาคาร” จากมาตรการปราบปรามบัญชีม้ามิจฉาชีพ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นั่งหัวโต๊ะประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เพื่อหาทางออกให้ผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการระงับบัญชีได้รับการปลดล็อกอย่างรวดเร็ว พร้อมย้ำว่ามาตรการนี้ยังคงมีความจำเป็นเพื่อปิดกั้นเส้นทางการเงินของแก๊งอาชญากรออนไลน์
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ อธิบายว่า มาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยบัญชีที่ถูกระงับนั้นไม่ใช่การปิดกั้นทั้งบัญชี แต่เป็นเพียงการระงับธุรกรรมชั่วคราวเฉพาะจำนวนเงินที่โอนออกจากบัญชีต้องสงสัย เพื่อให้สามารถติดตามเส้นทางการเงินและนำเงินที่สูญเสียจากอาชญากรรมออนไลน์กลับคืนสู่ผู้เสียหาย ส่วนการอายัดบัญชีเต็มรูปแบบจะทำได้เฉพาะกรณีที่มีหมายอายัดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ที่ประชุมได้พิจารณากลไกการเพิกถอนบัญชีที่ถูกระงับ โดยให้อำนาจศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) เป็นผู้สั่งปลดล็อกผ่านการทำงานของศูนย์ AOC 1441 ซึ่งจะประสานความร่วมมือกับ ธปท. ธนาคารพาณิชย์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลไกการตรวจสอบจะพิจารณาสองมิติหลัก ได้แก่ 1) เส้นทางการเงินและรูปแบบธุรกรรมว่ามีความผิดปกติหรือไม่ 2) การตรวจสอบว่าเจ้าของบัญชีมีรายชื่อเกี่ยวข้องกับการอายัดบัญชีจาก ปปง. หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่
ปลัดกระทรวงดีอี เปิดเผยว่า ขณะนี้ศูนย์ AOC ได้เร่งรัดการตรวจสอบบัญชีที่ถูกระงับ และสามารถปลดล็อกบัญชีที่ตรวจสอบแล้วว่าเป็นของประชาชนผู้สุจริตไปแล้วจำนวนหนึ่ง โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบแต่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดสามารถติดต่อศูนย์ AOC โทร. 1441 กด 2 เพื่อเข้าสู่กระบวนการเพิกถอนการระงับและคืนสิทธิ์การใช้งานบัญชี
อย่างไรก็ตาม การปลดล็อกบัญชีจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีคำสั่งจากศปอท. โดยธนาคารจะเป็นผู้แจ้งเจ้าของบัญชีให้ทราบโดยตรง ขณะที่ศูนย์ AOC มีหน้าที่เพียงรับเรื่องและประมวลผลข้อมูล ไม่ติดต่อกับประชาชนโดยตรง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกแอบอ้างโดยมิจฉาชีพ
มาตรการดังกล่าวถูกนำมาใช้ต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยมุ่งหวังปิดกั้นช่องทางการเงินของเครือข่ายอาชญากรออนไลน์ที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างต่อประชาชน พร้อมเพิ่มโอกาสในการติดตามเงินที่ถูกหลอกลวงกลับคืนให้ผู้เสียหาย ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าภาครัฐและสถาบันการเงินจะไม่ปล่อยให้แก๊งมิจฉาชีพใช้ระบบการเงินมาเป็นเครื่องมือก่ออาชญากรรมได้อีก