ข่าวเศรษฐกิจ

ธปท.ห่วงโอมิครอน กระทบเศรษฐกิจไตรมาสแรก เน้นนโยบายการเงินดูแลเศรษฐกิจ

10 ม.ค. 65
ธปท.ห่วงโอมิครอน กระทบเศรษฐกิจไตรมาสแรก เน้นนโยบายการเงินดูแลเศรษฐกิจ

แบงค์ชาติประเมินโควิดโอมิครอน กระทบเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2565 แล้วจะค่อยๆดีขึ้น เศรษฐกิจสามารถกลับมาเติบโตเหมือนก่อนโควิดประมาณ ปี 2566 ชี้ทิศทางนโยบายการเงินไม่ห่วงเงินเฟ้อ แต่ให้น้ำหนักการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า

 

10 ธ.ค. 6a5 นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย  ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและเงินเฟ้อว่า ธปท.มองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง เพียงแต่เห็นว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า โดยคาดว่าในปี 65 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.4% ส่วนในปี 66 คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.7% จากในปี 64 ที่ขยายตัวได้ 0.9%

การประเมินจากกรณีฐานที่คาดว่า การระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนจะสามารถควบคุมได้ภายในไตรมาส 1/65 ดังนั้นผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะอยู่ในช่วงแรกของปีเป็นหลัก คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปี 65 จะอยู่ที่ราว 5.6 ล้านคน

ส่วนการระงับมาตรการเดินทางเข้าไทยในรูปแบบ Test & Go นั้น คาดว่าจะเป็นแค่ชั่วคราวในช่วงไตรมาสแรก ประกอบกับการใช้มาตรการควบคุมเฉพาะบางพื้นที่เพื่อควบคุมการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน และคาดว่าจะเริ่มผ่อนคลายได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 65 เช่นกัน ซึ่งจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาถึง 90% ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะโตได้ 4.7% การฟื้นตัวจะกลับมาเข้มแข็งและอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด

ส่วนสถานการณ์เงินเฟ้อ มองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นชั่วคราวในช่วงครึ่งแรกของปี 65 จากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ซึ่งยังคงต้องติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้อโลก และการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการ รวมทั้งปัญหา Supply disruption อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมายตลอดช่วงประมาณการของ ธปท.

ด้านนายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. บอกว่า อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงมาจากปัจจัยด้านอุปทานชั่วคราว และมีแนวโน้มจะทยอยปรับลดลงได้ ดังนั้น ธปท.จะยังให้น้ำหนักกับการดูแลเศรษฐกิจมากกว่า เพราะมองว่าไม่คุ้ม หากจะทำนโยบายการเงินด้วยการดึงเศรษฐกิจชะลอเพื่อฉุดให้เงินเฟ้อต่ำลง

ทั้งนี้ ธปท. ได้แจ้งว่าจะมีการปรับจำนวนการประชุม กนง.เหลือ 6 ครั้งต่อปี จากเดิม 8 ครั้งต่อปี แต่ยังคงการเผยแพร่รายงานนโยบายการเงิน 4 ครั้งต่อปีเท่าเดิม โดยให้เหตุผลของการปรับลดจำนวนการประชุม กนง.ลง เนื่องจากมองว่าข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากในช่วงสั้นๆ หากมีข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้น จะช่วยให้การวิเคราะห์มีคุณภาพมากขึ้น และช่วยให้สามารถมองข้ามความผันผวนที่มาจากข้อมูลในระยะสั้นได้

นอกจากนี้ กนง.มองว่าการประชุมที่บ่อยครั้งอาจจะกระทบต่อการคาดการณ์ของตลาดการเงินโดยไม่จำเป็น ดังนั้น ความถี่ของการประชุมที่ลดลงจะช่วยให้ตลาดการเงินสามารถคาดการณ์ทิศทางนโยบายได้ชัดเจนขึ้น และเป็นการสะท้อนถึงขีดจำกัดของนโยบายที่ไม่อาจปรับแต่งภาวะเศรษฐกิจได้อย่างละเอียดใกล้ชิด นอกจากนี้ การลดความถี่ในการประชุม กนง.ลง จะช่วยให้สามารถบริหารเวลาและทรัพยากรที่มีจำกัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นไปที่การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงิน

advertisement

SPOTLIGHT